เพจ Facebook ของเราการที่มียอดคนมองเห็น ยอดการมีส่วนร่วม ยอดขาย หรือแม้กระทั่งยอดไลค์ ย่อมเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะให้เกิดกับตัวคุณเองเหมือนกัน จริงๆ นายเองก็เป็นพี สะเดิดได้นะ (ไม่เกี่ยวสักนิด)
การที่จะปั้นให้ได้ขนาดนี้หลายคนคงคิดว่ามันยาก มันทำไม่ได้แน่ๆ แต่ของพวกนี้ถ้าเราไม่ฝึกฝน เราก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะสำเร็จหรือไม่ ดังนั้นหากใครคิดว่าคงไม่ไหว ก็อาจจะข้ามบทความอันแสนยืดยาวตัวนี้ไปก่อนก็ได้
การที่เรามีเป้าหมายต้องการยอดขาย หรือต้องการให้เป็นที่รู้จักกับคนอื่น เราก็จำเป็นจะต้องแนะนำตัวเองให้คนอื่นรู้จักก่อน โดยใน Social Media อาจจะใช้วิธีเขียนคอนเทนต์สื่อสาร
เพื่อบ่งบอกตัวตน หรือเขียนเรื่องราว บทความ ใช้รูปภาพสื่อสาร เพื่อค่อยๆ ทำให้คนรู้จักเราและจะได้เปลี่ยนจากคนที่ไม่คุ้นเคยคนแปลกหน้า มาเป็นลูกค้าของเราหรือผู้ติดตามของเราได้ในที่สุด
8 วิธีปั้นเพจ Facebook ให้โตระเบิดแบบฟรีๆ (กดเลือกอ่านได้เลย)
1. เนื้อหาที่ใช่ ใครก็แชร์
การทำคอนเทนต์จะช่วยดึง Traffic และสิ่งอื่นๆ เข้าเพจ Facebook ของเราได้มากขึ้น โดยเฉพาะกับพฤติกรรมผู้คนในปัจจุบันไม่ชอบอะไรที่มันยืดยาวหากไม่ได้สนใจจริงๆ หรืออาจจะต้องทำคอนเทนต์ให้เหมาะสมกับช่วงเวลานั้นๆ หรือสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของเรา รวมถึงการทำ Header คอนเทนต์ให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น
- 7 วิธีตกแต่งบ้านให้สวยด้วยงบ 100 บาท
- 5 วิธีสร้างนิสัยรวย เปลี่ยนทีละนิด ชีวิตดีขึ้นแน่นอน
- 10 วิธีเช็คความเครียดที่อาจเกิดขึ้นโดยคุณไม่รู้ตัว
- ห้ามทำ 5 อย่างต่อไปนี้ถ้าไม่อยากให้โฆษณาพัง !!
- ถ้าไม่ทำตาม 7 สิ่งนี้ คุณกำลังผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง
และสำหรับคอนเทนต์ก็ยังแบ่งเป็นอีก 2 ประเภทคือ Tropical Content และ Evergreen Content ที่จะมีสไตล์รูปแบบการเขียนที่แตกต่างกันอีกทั้งยังมีหน้าที่ที่แตกต่างกันด้วยขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้นๆ ว่าเราควรที่จะใช้คอนเทนต์ตัวไหนถึงจะเหมาะสมมากที่สุด ไว้แอดจะมาเขียนอธิบายเป็นกระทู้เฉพาะไว้ให้เกี่ยวกับการทำคอนเทนต์ทั้ง 2 แบบ
2. นำเสนอหลากหลายรูปแบบ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและดึงดูดลูกค้า
การที่เรามีอะไรนำเสนอกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าหลากหลายแบบ นอกจากไม่สร้างความน่าเบื่อแล้ว ยังสร้างความน่าสนใจให้กับคอนเทนต์นั้นๆ ได้อีกด้วย เราสามารถสร้างสรรค์ได้หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นนำเสนอด้วยวิดีโอ การใส่ไอเดียให้ภาพนิ่งดูน่าสนใจ หรือการทำเป็นภาพสไลด์ให้ดูมีลูกเล่นเพิ่มมากขึ้นก็ได้
ตัวอย่างโพสต์อัลบั้มจากเพจ Marketing In Secret
ตัวอย่างโพสต์รูปเดี่ยวจากเพจ Marketing In Secret
ตัวอย่างโพสต์วิดีโอจากเพจ InterestPRO
3. ช่วยแก้ปัญหาของลูกค้า เราตอบโจทย์ตรงนี้ได้ โอกาสการซื้อย่อมมีแน่นอน
ลูกค้าทุกคนย่อมมีปัญหาต่าง ๆ มากมาย หากเรามีสินค้าหรือมีวิธีการแก้ปัญหาเหล่านั้นให้กับลูกค้าได้ นั่นหมายความว่าคุณมีโอกาสในการขายเกิดขึ้นชัวร์ ๆ เช่น เราทำร้านเกี่ยวกับอุปกรณ์ป้องกันภัยและกันขโมยในบ้าน เราก็อาจจะนำเสนอเชิงข้อดีของการมีอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยติดไว้ที่บ้าน ไม่ใช่เฉพาะสินค้าอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย แต่กับสินค้าหรือบริการทุกอย่างก็ควรที่จะมีจุดเด่นที่ช่วยแก้ไขปัญหาของลูกค้าได้ หากคุณสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ นอกจากจะได้ฐานลูกค้าใหม่ๆ แล้วยังได้ยอดขายเพิ่มเติมอีกด้วย
4. กลุ่มเป้าหมายที่ใช่ หาให้เจอ
ก่อนที่เราจะทำคอนเทนต์ทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการใดๆ ก็ตาม เราต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของเราก่อนว่าเป็นใคร ชอบอะไร เพื่อที่เราจะได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ หรือผลิตคอนเทนต์ได้ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมาย
ปัจจุบันการทำตลาดแบบ “ผลัก” แทบจะไม่ได้ผล เนื่องจากว่าผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป และจะเลือกสิ่งที่สนใจเท่านั้น ด้วยความที่ปัจจุบันมีคอนเทนต์เป็นร้อยเป็นพันให้เลือกอ่าน ไม่เหมือนสมัยก่อนที่จะดูจากเพียงแค่ทีวี หนังสือพิมพ์ หรือตามบิลบอร์ดต่างๆ
แต่ตอนนี้ถูกเข้ามาด้วยโลกออนไลน์ทำให้เราควรที่จะสื่อสารในสิ่งที่ผู้บริโภคอยากรู้เป็นส่วนใหญ่จะดีที่สุด
เมื่อข้างต้นพูดว่าการตลาดแบบ “ผลัก” แทบจะไม่ได้ผล อันนี้คือเรื่องจริง เราควรที่จะนำการตลาดแบบทั้งดึงและผลักเข้ามาใช้ร่วมกัน นำมาสนับสนุนในรูปแบบเฉพาะเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์แบบมากที่สุด
หากลุ่มเป้าหมายบน Facebook ได้ง่ายๆ ตามไปอ่านคอนเทนต์นี้ได้เลย : วิธีหากลุ่มเป้าหมายเบื้องต้น สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้เลย
กรอบรูปสินค้า Manyframe กรอบรูปสินค้าออนไลน์ไม่ต้องจ้างกราฟิก ทำได้ผ่านทั้ง Canva Photoshop และแอพในมือถือ ตกเพียงกรอบละ 0.8 บาทเท่านั้น
5. ปั้น Branding ให้เกิดเป็นภาพจำกับลูกค้า
การทำ Branding ก็เหมือนกับการสร้างเอกลักษณ์ให้กับตนเอง เพื่อให้คนง่ายต่อการจดจำ และยังทำให้ง่ายต่อการทำตลาดอีกด้วย ข้อดีของการทำ Branding คือ เหมือนกับการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีๆ ให้เกิดขึ้นในใจของลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย ทำให้มีความเชื่อมั่น และเกิดการบอกต่อได้สำหรับกลุ่มคนที่จงรักภักดีในแบรนด์
นอกจากนี้การสร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่จดจำของลูกค้าแล้วนั้น หากเรามี Personal Branding ด้วยก็จะทำให้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก เพราะจะช่วยให้คนยิ่งจดจำการกระทำ หรือสไตล์ของเราได้ง่ายมากขึ้น
ตัวอย่าง Personal Branding ที่เห็นได้ชัดๆ ก็จะเป็น “หมอแล็บแพนด้า” ที่จัดเต็มเรื่องสาระทางการแพทย์ต่างๆ เล่าเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องสนุก และที่ทุกคนต้องจำได้คือ “ขอบตาดำ” ซึ่งจะเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของหมอเลยก็ได้ พอเราเห็นขอบตาดำปุ๊บ ต้องนึกถึงหมอแล็บปั้บ อะไรประมาณนั้น เป็นการทำเพจ Facebook ได้สนุก และมีสาระความฮามากๆ
หมอที่เป็นเอกลักษณ์มากที่สุด “หมอแล็บแพนด้า”
6. การ LIVE ในเพจ Facebook ก็ช่วยได้ไม่น้อย
ในปี 2021 การไลฟ์สดมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมและการมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการขายของ บางคนโพสต์ปกติ ใส่วิดีโอแล้วลงเพจธรรมดาไว้ขายสินค้าไม่ได้ แต่เมื่อไลฟ์สดก็ขายได้มากกว่าปกติ เนื่องจากว่าการซื้อของออนไลน์ด้วยภาพนิ่ง
บางครั้งอาจจะไม่ตรงปกเท่าไหร่ เนื่องจากว่าสามารถดัดแปลงตกแต่งได้ แต่ถ้าการไลฟ์สดจะช่วยสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งทำให้ลูกค้าได้รู้สึกว่าเหมือนเค้าเห็นสินค้าจริงๆ แถมยังสร้างการมีส่วนร่วมและเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้า การที่เราไลฟ์สดลูกค้าจะสามารถโต้ตอบกับเราได้ทันทีทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งตรงนี้ก็มีส่วนช่วยสร้างความสัมพันธ์ได้ด้วยเช่นกัน
อย่างเพจพิมรี่พายขายทุกอย่าง เมื่อเปิดไลฟ์ 1 ครั้งมียอดวิวไม่ต่ำกว่าแสน สามารถดูได้จากวิดีโอย้อนหลังต่างๆ เลย ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับการไลฟ์ในแต่ละครั้ง
Live สดจากเพจ : พิมรี่พายขายทุกอย่าง
7. จัดกิจกรรมทางการตลาด
การจัดกิจกรรมทางการตลาด ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยดึง Traffic เข้าเพจได้เยอะพอสมควร โดยเฉพาะกิจกรรมแจกของรางวัล แต่ทั้งนี้การจัดกิจกรรมดังกล่าว แบรนด์ก็ควรที่จะได้ประโยชน์จากการจัดกิจกรรมด้วย ตัวอย่างการจัดกิจกรรมทางการตลาดให้ได้ประโยชน์ เช่น เราทำเพจหรือแบรนด์เกี่ยวกับผ้าปูที่นอน อาจจะตั้งคำถามประมาณว่า
“คุณชอบผ้าปูสีอะไรมากที่สุดหริอชอบผ้าปูที่นอนลายแบบไหน” ให้แชร์ไปหน้าไทม์ไลน์ส่วนตัวเปิดเป็นสาธารณะ พร้อมบอกเหตุผลว่าทำไมถึงชอบ ใครตอบได้โดนใจกรรมการมากที่สุดจะได้รับเซตผ้าปูที่นอน 1 ชุด จำนวน 3 รางวัล เป็นต้น
การจัดกิจกรรมแบบนี้สิ่งที่คุณจะได้รับคือการมีส่วนร่วมกับโพสต์และได้ Traffic จากผู้ที่แชร์ลงหน้า Facebook ของตัวเอง นอกจากนี้ยังทำให้คุณทราบได้ว่าคนส่วนใหญ่นั้นชอบผ้าปูสีอะไร ลายแบบไหนเท่านี้ก็สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์และทำสินค้าขายต่อได้ในอนาคตอีกด้วย
ตัวอย่างกิจกรรมเจ๋งๆ
Amazon Introducing : Build It
ที่ทาง Amazon เปิดให้โหวตผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 3 แบบ หากแบบใดได้ผลตอบรับตามที่ต้องการ ก็จะต้องสั่งจองล่วงหน้า 30 วัน และผู้ที่ได้ร่วมโหวตก็จะได้รับการซื้อสินค้าชิ้นนั้นๆ ในราคาพิเศษอีกด้วย
อ่านเพิ่มเติม : Introducing Build It
8. การให้คือสิ่งที่ดีที่สุด
การทำธุรกิจไม่จำเป็นว่าเราต้องขายของเสมอไป การให้ในที่นี้หมายถึง การให้ทดลองใช้บริการ ทดลองสินค้า หรือการให้ความรู้ ความเข้าใจในตัวสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับเรา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและให้เราดูเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ซึ่งทุกวันนี้พฤติกรรมลูกค้าไม่ได้ต้องการข้อมูลการขายอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน หากมีความสนใจพวกเขาเหล่านี้มักจะหาข้อมูลเสมอเพื่อตัดสินใจ เมื่อเราให้ข้อมูลกับคนกลุ่มนี้ เค้าก็มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าหรือบริการกับเรา เนื่องจากมองว่าดูเป็นผู้เชี่ยวชาญและสามารถช่วยเหลือลูกค้าเพื่อแก้ไขปัญหาได้
สรุป
การปั้นเพจให้โตระเบิดนั้นทำได้ไม่ยาก แต่อาจจะต้องฝึกฝนใช้เวลาพอสมควร เมื่อเราทำได้ในระดับนึงแล้ว กลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมายของคุณก็จะเข้ามาเอง โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินทำโฆษณาตั้งแต่ตอนแรก
แต่เมื่อเราเรียก Traffic เข้าเว็บได้ในระดับหนึ่งแล้ว เมื่อมีลูกค้าเข้ามาบางธุรกิจอาจจะเริ่มอัดงบโฆษณาตั้งแต่ตอนนี้ ทำให้เพิ่มยอดขายมากยิ่งขึ้น และประหยัดค่าโฆษณาลงได้อีกพอสมควร เพราะเราไม่ได้เริ่มทำโฆษณาตั้งแต่ตอนแรก จึงทำให้ค่าใช้จ่ายส่วนนั้นลดลง
การเรียก Traffic ก็พยายามอย่าทำแต่เพียง Push ข้อมูลหรือขายเพียงอย่างเดียว ควรทำคอนเทนต์หรือนำเสนอแบบ Pull เพื่อดึงลูกค้าและใช้วิธีผสมผสานระหว่าง Push กับ Pull จะช่วยให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพได้มากที่สุด