7 สิ่งที่ต้องระวังเมื่อสั่งของจากจีน ต้องระวังอะไรบ้างเมื่อสั่งของ

7 สิ่งที่ต้องระวังเมื่อสั่งของจากจีน ต้องระวังอะไรบ้างเมื่อสั่งของ

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

เริ่มต้นขายของออนไลน์ไม่ว่าใครก็ตามมักจะนึกถึงเรื่องการสั่งของจากจีนเป็นอันดับแรกๆ เพราะมีชิปปิ้งให้เลือกหลายเจ้าและง่ายต่อการเปรียบเทียบ รวมถึงพูดกันตรงๆ ก็คือสินค้าค่อนข้างถูก คุณภาพก็ใช้ได้ทำให้เป็นตัวเลือกที่ถูกนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ เลยหากจะเริ่มขายของออนไลน์ ถึงแม้เราจะรู้แหล่งสั่งและวิธีการสั่งก็ตาม มันก็ยังมีเรื่องที่คุณต้องระวังในการสั่งของจากจีนอยู่ โดยหลักๆ จะมีดังนี้

การสั่งของจากจีนสมัยนี้ใครๆ ก็สามารถสั่งกันได้ทั้งนั้น แม้คุณจะเริ่มสั่งเป็นครั้งแรกก็ตามมันไม่ใช่เรื่องยากเหมือนกับสมัยก่อน เพราะเดียวนี้มีคนสอนวิธีการนำเข้าจากจีนเยอะแยะมากมาย ขอแค่คุณรู้เว็บไซต์ที่ต้องการจะสั่งของและรู้ชิปปิ้งนำเข้าสินค้าจากจีนให้เราเท่านี้เราก็เอาเข้ามาได้แล้ว แต่มันก็มีความกังวลอยู่เล็กๆ จากการนำเข้าและควรต้องระวังด้วย

สินค้าด้อยคุณภาพ สินค้าไม่ตรงปก

บางครั้งเวลาคุณค้นหาสินค้าบนแพลตฟอร์ม eCommerce จากฝั่งจีนเอง คุณก็มักจะเจอสินค้าที่ใช้รูปเดียวกันมาเป็นแผง อันดับแรกให้ลองไล่ดูรีวิวบนแพลตฟอร์มดูก่อนว่าสภาพสินค้าที่ลูกค้ารีวิวมาตรงกับความต้องการของเราหรือไม่ และในการสั่งร้านที่ไม่รู้จักครั้งแรกให้ลองทีละน้อยๆ ก่อน เผื่อมันไม่ได้สเปคตามที่เราต้องการจะได้ไม่เจ็บเยอะมากนัก อย่าสั่งไปรวดเดียวเด็ดขาด เพราะทำให้หลายคนเจ็บมาเยอะแล้ว

ระวังเรื่องชิปปี้งให้ดี

จากการที่ทุกวันนี้สินค้าจากจีนเอาเข้ามาง่ายมากๆ ทำให้ผู้บริการนำเข้าสินค้าจากจีนผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ทำให้เหล่ามิจฉาชีพอาศัยจังหวะนี้ทำการแฝงว่าตัวเองรับนำเข้าสินค้าแต่สุดท้ายก็โกง ซึ่งตอนนี้เกลื่อนมากเลยทีเดียวและโดนกันตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักล้านบาท ดังนั้นก็เลือกชิปปิ้งที่เป็นบริษัทจะดีกว่าเพื่อความน่าเชื่อถือและตรวจสอบร้องเรียนได้หากโดนโกง

ตั้งราคาหลอก

ไม่ว่าจะในไทยหรือในจีนเองก็มักจะมีการตั้งราคาสินค้าหลอก เทคนิคก็คือชื่อสินค้ามันก็ถูกต้องตามสินค้าที่เค้าจะขายนั่นแหละ แต่พอเรากดเข้าไปดูแล้ว สินค้าที่เราต้องการอาจจะแพงกว่าราคาที่โชว์ตอนแรก ซึ่งตรงนี้หลายคนพลาดเยอะมาก พอเห็นราคาถูกปุ๊บก็รีบกดสั่งทันที พอของมาถึงกลับกลายเป็นว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการซะงั้น ก่อนที่จะซื้ออะไรควรตรวจสอบให้ดีก่อน ไม่ต้องรีบเดียวจะผิดพลาดเอาได้

เช็คเรื่องพาหนะการขนส่งทุกครั้ง

เรื่องพาหนะในการขนส่งก็มีหลากหลายตั้งแต่รถ เรือ เครื่องบิน ในหลายเจ้าเองก็มีให้บริการดังนี้เช่นกัน และการคิดเรทราคาก็มีความแตกต่างกันไปตามแต่ละพาหนะที่เราเลือก แบบเรือก็จะถูกกว่าแต่ถึงช้า แบบรถก็จะแพงขึ้นมาหน่อยแต่ถึงเร็วขึ้น บางครั้งอาจจะคำนวณผิดพาหนะส่งผลให้ราคาค่าส่งอาจจะไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ ก่อนจะตกลงใช้งานลองเช็คดูให้ดีอีกครั้งหนึ่งก่อน

ดูหน่วยสินค้าให้ดี

อันนี้ก็เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมากสำหรับคนที่สั่งของจากจีน บางร้านอาจจะเขียนระบุรายละเอียดไว้อยู่แล้วว่าหน่วยของสินค้านั้นเป็นแพ็คหรือเป็นชิ้นเดี่ยว เบื้องต้นหากไม่แน่ใจแนะนำว่าให้เปิดคอมพิวเตอร์แล้วใช้ Google Translate ลองแปลดูก่อนก็ได้ แต่ถ้าแปลแล้วเรายังไม่เข้าใจความหมายหรือมันแปลได้ไม่เข้าใจก็ลองสอบถามกับ Shipping ดูก่อนก็ได้

กรอบรูปสินค้า Manyframe กรอบรูปสินค้าออนไลน์ไม่ต้องจ้างกราฟิก ทำได้ผ่านทั้ง Canva Photoshop และแอพในมือถือ ตกเพียงกรอบละ 0.8 บาทเท่านั้น

ดูคะแนนและปีที่เปิดร้านค้า

แนะนำว่าถ้าจะสั่งของจากจีนให้เปิดสั่งในคอมจะดีกว่า เพราะฟีเจอร์จะค่อนข้างครบถ้วนดูง่ายกว่า แถมยังสามารถใช้ Google Translate แปลทีเดียวทั้งหน้าได้ด้วย อันดับแรกๆ หากคุณสนใจสินค้านั้นแล้ว ดูรายละเอียดแล้วโอเคทั้งหมด ก็ลองมาดูจำนวนปีที่ร้านเค้าเปิด รวมถึงคะแนนร้านค้าในภาพรวมดู นอกจากนี้ลองดูด้วยว่าถ้ามีคนซื้อไปแล้ว จะมีการกลับมาซื้อซ้ำอีกเท่าไหร่ ยิ่งเปอร์เซ็นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

อย่าสั่งสินค้าล็อตใหญ่ตั้งแต่ตอนแรก

ข้อผิดพลาดสำหรับคนที่เพิ่งสั่งของจากจีนครั้งแรกรวมถึงคนที่สั่งมานานแล้วแต่เปลี่ยนร้านใหม่ก็คือการสั่งของล็อตใหญ่ในครั้งเดียว การทำแบบนี้ถามว่าได้หรือไม่มันก็สามารถทำได้ แต่จะมีความเสี่ยงในเรื่องของสินค้าไม่ตรงปกหรือเกิดโอกาสที่สินค้าจะไม่ตรงสเปคที่เราต้องการได้เช่นกัน

สรุป

การสั่งของจากจีนก็ไม่ใช่เรื่องยากและน่ากลัวอย่างที่ทุกคนคิด แต่อาจจะต้องอ่านรายละเอียดดีๆ หากอันไหนไม่มั่นใจก็สามารถสอบถามกับทางชิปปิ้งเพื่อตรวจสอบข้อมูลให้ได้เช่นกัน นอกจากนี้อาจจะต้องคิดเรื่องระยะเวลาในการจัดส่งสินค้าด้วย เพราะต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศอาจจะใช้เวลานานสักนิด ต้องคำนวณเผื่อขายให้ดีด้วย


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
ขายของเน้นกำไร Vs  ขายเน้นจำนวนออเดอร์แบบไหนดีกว่ากัน ?

ขายของเน้นกำไร Vs ขายเน้นจำนวนออเดอร์แบบไหนดีกว่ากัน ?

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

คุณเคยเจอมั้ย ? เข้ากลุ่มไหนก็ตามมักจะเจอคนโพสต์รูปของที่แพ็คไว้แล้วเป็นจำนวนมหาศาล บางคนเจอแบบโชว์รูป 1000 ชิ้นบ้าง 500 ชิ้นบ้าง 100 ชิ้นบ้าง เป็นใคร ใครเห็นก็ย่อมอยากจะมีโมเมนต์แบบนี้บ้างสำหรับคนขายของ มันเป็นธรรมดาที่หากเราเป็นมือใหม่ หรือขายมาได้สักพักแล้วแต่ออเดอร์ยังน้อยอยู่ ในนี้เราจะมาพูดถึงหัวข้อ ขายเอากำไรรวมต้นทุนทุกอย่าง Vs  ขายเอากำไรบวกน้อยนิดแต่ได้ออเดอร์แบบไหนดีกว่ากัน จริงๆ มันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนด้วยนะว่าสะดวกหรือชอบแบบไหน

ขายของเน้นกำไร Vs ขายเน้นจำนวนออเดอร์แบบไหนดีกว่ากัน ? (กดเลือกอ่านได้)

หากคุณอยู่ตามกลุ่มที่ขายของต่างๆ หรือกลุ่มที่แชร์ความรู้กันแบบฟรีๆ แอดเชื่อว่าอย่างน้อยๆ ที่เล่น Facebook จะต้องเจอคนโชว์จำนวนของที่แพ็คเป็นปริมาณมหาศาลจนเราเห็นแล้วเกิดอยากได้ออเดอร์แบบนั้นบ้าง โดยเฉพาะช่องทาง eCommerce หากใครได้ไปสิงอยู่ในกลุ่มก็จะเห็นเป็นประจำ

สำหรับการขายของทุกคนก็ล้วนคาดหวังในตัวกำไรกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมากจะน้อยแต่ก็ขอให้ได้กำไรก่อน อันนี้คือข้อเท็จจริง มันแทบจะไม่มีใครเลยที่จะยอมขายของขาดทุนตลอดเวลา โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนหรือกำไรในภายภาคหน้าในอนาคต ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างพวกกลุ่ม eCommerce ที่ยอมขาดทุนเพื่อทำการตลาด การโปรโมท การดึงดูดให้คนเข้ามาใช้งานแพลตฟอร์มกันมากยิ่งขึ้น เมื่อถึงเวลาที่แบรนด์ติดตลาด กลายเป็นที่นิยม และคนรู้จักไปทั่วก็จะเป็นจุดที่เริ่มจะกลับมาทำกำไรจากการโฆษณาให้กับแบรนด์ต่างๆ การ Boost ยอดการเข้าถึงบนแพลตฟอร์ม การหักค่าพื้นที่การขาย และอื่นๆ อีกมากมาย

ทำโฆษณา

ขอขอบคุณรูปภาพจากเพจ : Lenovo Thailand

แม้แต่แบรนด์ใหญ่ๆ เองที่มีชื่อเสียงและคนรู้จักอยู่แล้วก็ยังมีการทำโฆษณาเพื่อแนะนำสินค้าใหม่ๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของบริษัทอยู่เสมอ จะเห็นได้ว่าเรื่องของการทำการตลาดก็มีความสำคัญไม่แพ้กับเรื่องอื่นๆ เลยทีเดียว

สิ่งที่เราต้องคิดเมื่อขายของออนไลน์

ในการขายของไม่ใช่เพียงแค่เราลงสินค้า ตั้งราคาบวกเพิ่มมานิดหน่อย 5 บาท 10 บาทเพื่อเอากำไร แล้วพอขายได้ก็บอกแล้วว่าเราได้กำไร ซึ่งถ้าคุณคิดแบบนี้บอกเลยว่าคุณกำลังทำผิดมหันต์ เพราะแท้จริงแล้วมันยังมีต้นทุนอื่นๆ แฝงไว้อยู่อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นค่าแพ็ค ค่าแรง ภาษี และอื่นๆ อีกเพียบ อยากรู้ว่าต้นทุนแฝงมีอะไรบ้างลองอ่านบทความ 6 ต้นทุนแฝงมันมีอะไรบ้าง

พอทีนี้เมื่อเราขายถูกมากๆ เพราะเอากำไรน้อย ตัดราคาคนอื่น แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาคือมีออเดอร์เยอะขึ้น ปริมาณคำสั่งซื้อเยอะขึ้นแบบสุดๆ แน่นอนว่ากำไรแค่ 5 บาท 10 บาท กว่าคุณจะได้กำไร 1000 บาทคุณต้องขายไปตั้ง 100 – 200 ออเดอร์ เลยทีเดียว สำคัญไปกว่านั้นคือเมื่อถึงเวลาที่เรามีรายได้สอดคล้องกับการจ่ายภาษี ตอนนั้นแหละจะทำให้เราขาดทุนได้เพราะไม่ได้บวกราคาเผื่อภาษีไป แน่นอนว่าการขายถูกทำให้เราได้ปริมาณออเดอร์เยอะขึ้น แต่กำไรมันจะไม่พอให้เราจ่ายค่าต่างๆ ได้แน่ๆ

ทีนี้กลับกันถ้าเราขายของตามปกติ บวกกำไร บวกค่าแรง ค่าแพ็ค ค่าส่ง และค่าจิปาถะอื่นๆ เข้าไปในราคาสินค้าแล้ว พอถึงเวลาขายเราได้ออเดอร์ที่น้อยลง แต่กำไรมากขึ้น มันย่อมส่งผลดีต่อตัวเราในอนาคต อาทิเช่น มีกำไรเหลือพอสำหรับการจ้างลูกน้องช่วยแพ็ค การจ่ายภาษี การเช่าพื้นที่ขยายกิจการในอนาคต เป็นต้น

ทำไมบางคนมีออเดอร์เยอะและมีกำไรด้วยเหมือนกัน ? 

บางคนที่คุณเห็นออเดอร์เยอะ เค้าอาจจะคิดทุกอย่างไว้กับราคาสินค้าและขายได้กำไรเพียงพอที่จะหักไว้จ่ายค่าต่างๆ แล้วก็ได้ แต่ที่ขายดีอาจจะเป็นเพราะ

  1. สินค้ากระแสช่วงต้น
  2. สินค้าเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ตอบโจทย์ผู้ซื้ออยู่แล้ว
  3. สินค้าเฉพาะ ที่มีคนขายไม่เกิน 5 รายในตลาดเท่านั้น
สินค้าบน 1688

เรื่องสินค้ากระแสคุณเองก็สามารถติดตามได้จากเหล่า Social Media ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพวก Facebook หรือ TikTok ก็มักจะมีการหาซื้อหรือขายสินค้ากระแสอยู่บ่อยครั้ง หากสนใจสินค้ากลุ่มนี้คุณต้องเข้าให้เร็วและรู้จังหวะออกด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วโอกาสที่จะขาดทุนมีสูงเลยทีเดียว

ปัจจัยการที่จะทำให้เราได้ออเดอร์เยอะๆ ขายได้กำไรดีๆ มันก็ขึ้นอยู่กับที่ตัวสินค้าด้วยเหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าสินค้าที่เป็นกระแสจะไม่สามารถบวกกำไรเข้าไปได้ อยู่ที่ตัวเราเองว่าพึงพอใจจะตั้งเท่าไหร่ อาจจะเสริมพวกของแถม โปรโมชั่นต่างๆ เข้าไปช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้มากขึ้น

บางคนอาจจะได้ต้นทุนที่ถูกทำให้เค้าขายราคาถูกได้ เช่น คนที่นำเข้าสินค้าจากจีน หรือคนที่ดีลโรงงานเองได้ เป็นต้น

ใครที่ยังเป็นมือใหม่และอยากที่จะขายของในระยะยาวเป็นอาชีพเสริมหรือคิดจะผันตัวไว้ทำเป็นอาชีพหลักที่มั่นคง แนะนำว่าอย่าตัดราคาเพื่อเอาปริมาณออเดอร์เยอะๆ เข้าไว้ ถ้าไม่ได้วางแผนการตลาดไว้เผื่ออนาคตสำหรับการทำแบบนี้ เหมือนกับเรากำลังก้าวเข้าสู่ช่วงล่มสลายเหมือนหลายคนที่ทำ เดียวเมื่อขายของได้เยอะเข้าทีนี้ค่าใช้จ่ายในส่วนพวกธุรกรรมแพลตฟอร์ม ค่าธรรมเนียมการชำระเงิน ค่าอื่นๆ จิปาถะมากมายจะถาโถมเข้ามาหาและทำให้เราขาดทุนได้ โดยเฉพาะเรื่อง “ภาษี”

สรุป

สำหรับเพื่อนๆ ที่ฟังมาถึงตรงนี้แล้ว มีความคิดเห็นกันว่าอย่างไรบ้าง ระหว่างขายได้ออเดอร์เยอะๆ กับ ขายของเอากำไรได้ แต่ได้ปริมาณลดลง เพื่อนๆ เลือกอันไหนกัน ? สำหรับแอดแล้วฝั่ง eCommerce จะเล่นเอาออเดอร์ให้ได้เยอะสักนิดพอมีรีวิว แล้วค่อยปรับราคามาตามที่เราได้กำไรไว้ ส่วนใครคิดแตกต่างจากนี้มาคอมเมนต์พูดคุยกันได้เลยครับ ไม่มีถูกมีผิดน้า


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
สอนทำ Dropship ขายออนไลน์สุดง่ายด้วยเงินลงทุนไม่ถึง 1,000 บาท

สอนทำ Dropship ขายออนไลน์สุดง่ายด้วยเงินลงทุนไม่ถึง 1,000 บาท

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

ทุกวันนี้ขายของบนโลกออนไลน์ก็ไม่ใช่เรื่อยยากเหมือนกับสมัยก่อนที่ยังไม่ได้มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตหรือหาแหล่งการขายสินค้าได้ง่ายเหมือนกับทุกวันนี้ รวมถึงสมัยก่อนการจะเริ่มต้นทำธุรกิจทั้งทีก็จำเป็นจะต้องมีการลงทุนด้วยเงินมหาศาล ต้องมาลุ้นอีกว่าจะขายได้รึเปล่าเพราะถ้าขายไม่ได้เลยเงินเราก็จะจมกับต้นทุนสินค้าทันที แถมยังระบายออกได้ยากอีกด้วย ในบทความนี้เราจะพาไปรู้จักกับ Dropship กันก่อนว่าคืออะไร ?

Dropship คืออะไร ?

Dropship คือ การนำสินค้าของคนอื่นที่มีอยู่มาขาย โดยที่เราต้องไปขออนุญาตเจ้าของสินค้าก่อนที่จะนำมาโพสต์ขาย การทำแบบนี้เราไม่จำเป็นต้องมีสินค้า ทำหน้าที่เพียงหาลูกค้าและบอกกับเจ้าของสินค้าจัดส่งให้กับเราได้

แต่เมื่อเราจะนำมาโพสต์ขายแล้วเราก็ต้องบวกกำไรเข้าไปด้วย เพราะสิ่งที่เค้าจะให้เรามาก็เป็นเพียงแค่ราคาทุนเท่านั้น อย่างเช่น โทรศัพท์เรารับมาราคา 1000 บาท เราไปโพสต์ขายเป็น 1500 บาท เป็นต้น

เลือกดรอปชิป (Dropship) ยังไงดี

ต้องบอกว่าปัจจุบันเจ้าที่ให้บริการเกี่ยวกับด้าน Shipping ได้เปิดให้บริการอยู่มากมาย ซึ่งผู้ที่เปิดให้ทำดรอปชิปนั้นมีความสามารถในด้านการนำหรือจัดหาสินค้ามาเพื่อจัดจำหน่าย แต่อาจจะต้องการขยายธุรกิจเพื่อให้ธุรกิจเติบโตมากยิ่งขึ้น รวมถึงยังมีการหลอกลวงอยู่ด้วยเช่นกันตรงจุดนี้ต้องระวัง ในที่นี้เดียวแอดจะช่วยแนะนำการคัดเลือกเบื้องต้นให้

1. เลือกเจ้าที่มีความน่าเชื่อถือสูงหน่อย

ในการเลือกบางครั้งอาจจะปุบปับเลือกทันทีเลยไม่ได้ แอดแนะนำว่าให้คุณเข้าไปคลุกตัวอยู่ในกลุ่มหรือดูรายละเอียดต่างๆ ในเพจให้เรียบร้อยก่อน เนื่องจากว่าปัจจุบันมีการหลอกลวงค่อนข้างมากเลยทีเดียว ให้เราสังเกตจากการพูดคุยในกลุ่มหรือเช็คการจัดส่งของเค้าว่ามีการจัดส่งจริงหรือไม่ มันก็ช่วยกรองให้เราได้ปลอดภัยระดับหนึ่งเลย

2. กรองความปลอดภัยเพื่อความชัวร์อีกครั้งหนึ่ง

สำหรับการกรองอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลอย่างมากช่วยป้องกันในระดับหนึ่งเลยคือ “การเช็คแบล็กลิสต์” โดยเราสามารถเข้าไปเช็คได้ว่าบัญชีที่เราจะโอนเงินให้เคยมีการโกงเกิดขึ้นหรือไม่ เพื่อไม่ให้เราเป็นเหยื่อและถูกหลอกในการทำ Dropship ได้ เบื้องต้นให้คุณเข้าเว็บ “Blacklistseller” และค้นหาด้วยเลขบัญชีธนาคารหรือเลขบัตรประชาชนอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งการกรองนี้ก็ทำให้หลายคนรอดจากการโกงได้

วิธีตรวจสอบคนโกง

ตรวจสอบคนโกงออนไลน์ได้จาก Blacklistseller เลย

3. เลือกสินค้าที่มันเฉพาะหน่อย

สินค้าเฉพาะ หมายถึงว่าเป็นสินค้าที่มีกลุ่มลูกค้าเฉพาะและเราสามารถทำกำไรจากมันได้มากแม้จะทำแบบดรอปชิปก็ตาม ด้วยการที่มันเป็นสินค้าเฉพาะทำให้มันมีกลุ่มลูกค้าที่ต้องการอยู่และต้องการความเชี่ยวชาญในระดับหนึ่ง เพราะต้องนั่งคิดและทำคอนเทนต์ให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายทำให้หลายคนไม่ชอบที่จะเริ่มต้นด้วยสินค้าเฉพาะเท่าไหร่ แต่สำหรับคนที่คิดจะขายแบบยาวๆ แล้วมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันจะทำให้เค้าสามารถยึดตลาดตรงนี้ได้ แถมยังคู่แข่งน้อยกว่าสินค้าที่ซื้อขายกันทั่วไปอีกด้วย

4. ดูสินค้าที่พอให้เรามีกำไร

ต้องบอกเลยว่าหลายคนชอบเข้ามาในตลาดด้วยการตัดราคากันแบบมหาโหด สุดท้ายแล้วก็ไม่พ้นที่จะต้องออกจากตลาดไปเพราะไม่มีกำไรที่สอดคล้องกับค่าใช้จ่าย แอดอยากจะแนะนำให้สำหรับคนที่ทำ Dropship นิดนึงว่าพยายามอย่าหาตัวที่กำไรต่ำมากเกินไป

เพราะมันอาจจะทำให้เราขาดทุนได้หากมาคิดภายหลัง ดังนั้นวิธีหาง่ายๆ คือให้เราลองรวมต้นทุนของเราก่อนว่ามีอะไรบ้างเช่น ค่าลัง ค่าสก็อตเทป ค่าโฆษณา ค่าธรรมเนียมของช่องทางต่างๆ รวมถึงมันยังมีต้นทุนแฝงอื่นๆ แล้ววิเคราะห์ดูว่ากำไรที่ได้เราไหวหรือไม่ ถ้าไหวก็สู้ได้เลย

5. เตรียมช่องทางการขายของตัวเอง

สินค้าทุกชิ้นก็ใช่ว่าจะสามารถขายได้ทุกช่องทาง บางสินค้าอาจจะเหมาะกับ Facebook หรือเหมาะกับ TikTok ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่ากลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของคุณอยู่ที่ไหน อย่างไรก็ตามเราไม่ควรจำกัดให้ตัวเองอยู่เพียงแค่ช่องทางใดช่องทางหนึ่งเท่านั้น ก่อนที่เราจะเริ่มทำ Dropship ก็ให้เตรียมตัวทำช่องทางสำหรับการขายไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, TikTok, LINE Official และช่องทางอื่นๆ

6. ศึกษาคู่แข่งก่อนเพื่อให้เราตัดสินใจเลือกสินค้าได้

ด้วยปัจจุบันที่ทุกคนไม่ว่าใครก็สามารถทำ Dropship กันได้ทั้งนั้น และการที่คุณจะสามารถชนะหรือตัดสินใจว่าจะขายสินค้าชิ้นนั้นๆ ดีหรือไม่คือ “การศึกษาคู่แข่ง” เพราะจะช่วยให้คุณวิเคราะห์และประเมินศักยภาพในคู่แข่งและตัวของคุณได้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องลงแรงแบบศูนย์เปล่าในการทำ

ง่ายสุดเราสามารถใช้เครื่องมืออย่าง “Google Trends” ในการเช็คความนิยมหรือช่วยเช็คเรื่องอัตราการค้นหาของสินค้าชนิดนั้นๆ ได้ ทาง Marketing In Secret เองก็ได้มีการเขียนบทความแนะนำเรียบร้อยไว้เป็นไกด์ไลน์ให้กับเพื่อนๆ ได้ลองใช้กัน

7. ติดต่อกับร้านที่เราต้องการทำ Dropship

จากการที่เราทำ Dropship นั้นเราก็จำเป็นต้องเอาข้อมูลของเค้ามาเพื่อทำการโพสต์ขายหรือทำคอนเทนต์ต่างๆ ก่อนที่จะเอาของเค้ามาใช้เราก็ไปขออนุญาตเค้าก่อน แต่ถ้าเราเข้าร่วมกลุ่มหรือเค้าได้โพสต์อนุญาตแล้วเราก็สามารถเอาไปใช้ได้เลย

รวมกลุ่มเป้าหมายของสินค้าทุกชนิดไว้ใน E-Book เล่มเดียว ยิงแอดได้ตรงกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น

ข้อดีและข้อเสียของ Dropship

ข้อดีของการทำ Dropship

  • มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย พูดง่ายๆ คือขายได้ทุกอย่างถ้าเราทำไหว
  • ไม่ต้องมีต้นทุนก็ขายได้
  • ได้ทดสอบตลาด หากขายดีค่อยสั่งมาสต็อก
  • สามารถเริ่มทำได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลา
  • มีเจ้าเปิดรับทำ Dropship เยอะมาก สะดวก

 ข้อเสียของการทำ Dropship

  • คู่แข่งเยอะมาก เพราะใครๆ ก็ทำได้ง่าย
  • ไม่มีแบรนด์เป็นของตัวเอง ทำมากเจ้าของสินค้ารวย
  • ไม่ยั่งยืน กำไรต่อชิ้นค่อนข้างน้อยมาก
  • เกิดปัญหาเรื่องสต็อกสินค้าไม่ตรงกับในระบบ
  • การจัดส่งอาจเกิดปัญหาขึ้นได้ เพราะบางครั้งเราเช็คไม่ได้ว่าส่งให้จริงหรือไม่

สรุป

การทำ Dropship มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียปะปนกันไป แต่ถ้าคุณไม่รู้ว่าจะขายอะไรดี แต่รู้ว่าอยากขายของ ลองไปดูพวกเว็บไซต์ต่างๆ และขอนำรูปภาพมาขายดู ขายได้แล้วเราค่อยสต็อก

สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือความขยันและความตั้งใจ เพราะตัวแปรสำคัญของการทำธุรกิจคือถ้าไม่มุ่งมั่น แป๊บเดียวแค่นั้นแหละเดียวก็เลิก หากใครคิดว่ามีพร้อมแล้วก็เริ่มลงมือทำกันได้เลย


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
ทำยังไงให้ขายได้กับ 10 เทคนิคที่ร้านขายดีบน Shopee มักจะใช้กัน

ทำยังไงให้ขายได้กับ 10 เทคนิคที่ร้านขายดีบน Shopee มักจะใช้กัน

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

คนขายของส่วนใหญ่นอกจากจะขายของบน Facebook แล้วยังนิยมขายบนแพลตฟอร์ม eCommerce อย่าง Shopee หรือไม่ก็ Lazada ด้วย แน่นอนว่าหากคุณกระโดดเข้าไปร่วมขายสินค้า ณ ตอนนี้คุณต้องเจอกับปัญหาในเรื่องของการตัดราคากันอย่างถล่มทลาย หาสินค้าตัวเองไม่เจอ และอีกสารพัดปัญหา แล้วทำไมบางคนเพิ่งเปิดร้านแล้วทำไมขายดีล่ะ เราทำบ้างไม่เห็นขายดีเลย ลองดูวิธีการทำให้ร้านเราขายดีบ้างดีกว่า

1. คูปองติดตามร้านไม่ควรขาด

หากคุณเป็นคนที่เริ่มต้นจาก 0 เลย ไม่มีฐานลูกค้า ไม่มีคนรู้จักร้านเรา อันดับแรกๆ ถ้าอยากให้คนรู้จักเราลองให้พวกเค้าติดตามร้านค้าของเราดู แต่การจะทำให้ลูกค้ากดติดตามร้านค้าเราคงเป็นเรื่องยากพูดกันง่ายๆ ก็เหมือนการกด Subscribe ช่อง YouTube สักช่องที่มีความยากเย็นแสนเข็น แต่ถ้าคุณสร้างคูปองให้ผู้ติดตามกดแล้วมีส่วนลดให้สำหรับการซื้อสินค้าของเรา แน่นอนว่าย่อมมีลูกค้ากดง่ายกว่าการที่เราไม่มีอะไรให้เลย และเมื่อมีคนติดตามร้านในระดับหนึ่งแล้ว มันก็จะส่งผลให้สินค้าของเราขายดีมากขึ้น และช่วยเพิ่มยอดขายจากฟีเจอร์ต่างๆ ที่ทาง Shopee เค้ามีมาให้ในอนาคตนั่นเอง

2. ตั้งชื่อให้เป๊ะ ทำชื่อสินค้าให้ค้นหาง่าย

ไม่ว่าแพลพตฟอร์มออนไลน์ไหนๆ การตั้งชื่อให้กับสินค้าหรือแม้กระทั่งชื่อร้านค้าก็มีผลกับการค้นหาของลูกค้าทั้งนั้น คุณอาจจะเจอสินค้าบางตัวที่ตั้งชื่อหลากหลายสรรพนาม อาทิเช่น ร้านขายกรงสัตว์เลี้ยงอาจจะตั้งชื่อว่า

“กรงสัตว์เลี้ยงขนาด 50 x 50 ซม. กรงกิ้งก่า กรงงู กรงหนูแฮมเตอร์ กรงกระต่าย กรงน้องแมว”

การที่เค้าตั้งชื่อแบบนี้หมายความว่าเมื่อลูกค้าค้นหาคำใดก็ตามก็มีโอกาสที่จะเจอสินค้าของร้านนี้ง่ายขึ้น แต่บางครั้งการตั้งชื่อแบบนี้ก็อาจจะโดนเรื่อง Spam คำได้เช่นกัน ดังนั้นตั้งให้เหมาะสมและเป็นคีย์ไม่ที่ Spam รวมถึงลูกค้าก็ค้นหาด้วยจะดีที่สุด

คุณอาจจะเกิดคำถามแล้วว่าพวกร้านขายดีที่ชอบตั้งชื่อแปลกๆ ทำไมขายได้และติดอันดับได้ ต้องบอกว่าระบบของ eCommerce หากสินค้าไหนขายดีและน่าจะเกี่ยวข้องกับการค้นหา เค้าก็จะแนะนำสินค้านั้นมาให้ รวมถึงกว่าจะขายดีได้ขนาดนั้นเค้าอาจจะต้องทำโฆษณานอกแพลตฟอร์มและในแพลตฟอร์มเพื่อให้เกิดยอดขายและติดอันดับได้นั่นเอง

3. ใช้ Feed ให้เกิดประโยชน์

ทางฝั่งของ Shopee เองก็มีกิจกรรมให้ร่วมสนุกมากมาย ทั้งฝั่งลูกค้าเองและฝั่งผู้ขายเองก็ด้วย หลายคนอาจจะเคยโพสต์ฟีดไปแล้วแต่ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่รู้หรือไม่ว่าบางครั้งระบบ Algorithm ของ Shopee ก็มีการดันโพสต์เก่าๆ ที่อาจจะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมาแสดงให้เห็นอีกครั้งด้วย และพยายามอย่าโพสต์แต่เพียงรูปภาพอย่างเดียว ให้โพสต์แบบผสมสินค้า วีดิโอ และอย่าลืมติด Tag ให้กับสินค้านั้นๆ ด้วย

ปัจจุบัน Shopee ได้ยกเลิกตัว Feed ไปเรียบร้อยแล้ว ยังไม่มีเครื่องมือใหม่ๆ เข้ามาทดแทนในด้านของฟีด ไว้มีอัพเดทแล้วแอดจะมาแจ้งให้ทุกคนอีกครั้ง

4. แนะนำสินค้าอื่นๆ ด้วย Flexible Combo

หากคุณเข้าไปในร้านขายดีหลายๆ ร้าน เค้ามักจะมีโปรโมชั่นพิเศษต่างๆ อยู่แล้ว แต่จะเห็นได้บ่อยกับเหล่าสินค้าที่สามารถนำมาทำจับคู่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ขายไม้ม็อบถูพื้น ก็จะมีแนะนำประมาณว่าหากคุณซื้อไม้ม็อบและผ้าเปลี่ยนราคาจะถูกลงกว่าการซื้อแยก และยังเป็นการทำให้ขายสินค้าได้เพิ่มมากขึ้นอีก

หลายๆ ร้านขายดีมักจะนิยมใช้เครื่องมือตัวนี้มากๆ โดยจะนำไปผูกกับสินค้าเก่าที่ขายดีอยู่แล้วเพื่อเป็นการแนะนำเพิ่มการมองเห็นให้กับลูกค้า รวมถึงบางคนใช้วางกลยุทธ์การใช้ดีๆ ตัว Flexible Combo สามารถเพิ่มยอดขายได้อีกราวๆ 30 – 50% เลย

5. ติดคูปองส่วนลดไว้ในร้านหน่อย

เริ่มต้นหากเราเพิ่งเป็นร้านใหม่หรือไม่ก็อยู่มานานแล้วแต่ไม่มียอดขาย ให้ลองสร้างคูปองติดไว้ในร้านบ้างเพราะบางครั้งลูกค้าต้องการซื้อสินค้าแล้วแต่รอส่วนลดอยู่ การมีส่วนลดในร้านก็จะช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายมากขึ้น แนะนำว่าควรสร้างคูปองหลายๆ ราคาหน่อย เช่น 100 ลด 5 บาท 200 ลด 10 บาท เป็นต้น ลองคำนวณความคุ้มทุนของแต่ละคนดู

ทั้งนี้เมื่อคุณสร้างคูปองแล้วอย่าลืมวัดผลลัพธ์ที่ได้ด้วยนะ เพราะไม่อย่างงั้นแล้วไม่มีประโยชน์ที่เราจะทำ การติดตามผลลัพธ์อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมลูกค้ารวมถึงได้รู้อีกด้วยว่าคูปองตัวไหนทำให้ลูกค้าสั่งซื้อได้มากที่สุด

รวมกลุ่มเป้าหมายของสินค้าทุกชนิดไว้ใน E-Book เล่มเดียว ยิงแอดได้ตรงกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น

6. ทำ Social Partner เพิ่มยอดขาย

การทำ Social Partner ก็เหมือนกับการทำ Affiliate Link ตามปกติทั่วไป หากคุณเป็นคนที่ใช้งานโซเชียลมีเดียเพื่อโปรโมทร้านค้าตัวเองบน Shopee อยู่แล้วก็ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าหากคุณวางลิงค์ที่ได้จากการสมัคร Social Partner และลูกค้าเกิดการซื้อสินค้าเราก็จะได้ค่าคอมมิชชั่นอีกด้วย เป็นอีกตัวที่คุ้มมากๆ และเจ้าใหญ่หลายเจ้าก็นิยมทำกันเพราะจะได้มีส่วนต่างไว้ทำการตลาดเพิ่มเติมในอนาคต

7. โปรโมทผ่านช่องทางออนไลน์อื่นๆ

การทำธุรกิจหรือแม้กระทั่งการขายสินค้าจำเป็นต้องมีการโปรโมท เพราะถ้าหากคุณไม่ทำโฆษณาหรือการตลาดใดๆ เลยคนก็จะไม่รู้จัก ถึงแม้รู้คุณก็จะได้ยอดขายเท่าเดิม การโปรโมทผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ก็มีโอกาสที่คุณจะได้กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้น และยังได้ยอดขายเพิ่มขึ้น ไม่ใช่เฉพาะบนโซเชียลมีเดียอย่างเดียว บนแพลตฟอร์มก็ควรทำโฆษณาบ้างเช่นกัน

8. เข้าร่วมแคมเปญอย่างสม่ำเสมอ

บน Shopee เองก็มีแคมเปญต่างๆ ให้เข้าร่วมมากมายหลายหมวดหมู่ หากคุณขายสินค้าที่ทาง Shopee มีแคมเปญแอดก็แนะนำว่าอยากให้เข้า เพราะมันจะช่วยเพิ่มการมองเห็นและ Shopee เค้ายังจะช่วยแนะนำสินค้าไปให้ผู้ซื้อได้เห็นมากขึ้น แต่ต้องเช็คด้วยว่าเข้าไปแล้วเราขาดทุนหรือไม่ ถ้าเรายังรับได้ก็ควรเข้า

9. เข้าร่วมโปรแกรมต่างๆ ของ Shopee

Shopee มีโปรแกรมสำหรับร้านค้าไม่ว่าจะเป็นส่งฟรี ได้ Coin Cashback ซึ่งโปรแกรมนี้จะทำให้ลูกค้าสามารถใช้โค้ดส่วนลดที่ Shopee แจกได้ และมีโอกาสที่เราจะได้ยอดขายเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้สินค้าของเราจะได้ติด Tag พิเศษตามแต่ละโปรแกรมที่เราสมัคร แต่ต้องดู % ที่ถูกหักให้ดีด้วยนะ เพราะหลายคนเจ็บมาเยอะแล้วเหมือนกัน

10. ทำรูปสินค้าให้ดี

บนแพลตฟอร์ม eCommerce จุดเด่นที่มากกว่าพาดหัวคือ “รูปภาพ” มันเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างมาก เพราะสิ่งแรกที่ลูกค้าจะเห็นก็คือรูปภาพ และคุณควรจะทำรูปภาพให้สวย ทำให้ลูกค้าอยากกดเข้าไปดู หากนึกไม่ออกลองนึกถึงตัวเองก็ได้ว่าที่เรากดเข้าไปดูสินค้าเพราะอะไร แล้วเราก็ค่อยๆ ปรับไป มันช่วยได้เยอะเลย

สรุป

ปัจจุบันบนแพลตฟอร์มเองก็มีคู่แข่งที่ค่อนข้างมากทั้งคนไทยและต่างชาติเอง ทำให้การขายเป็นไปได้ยากมากยิ่งขึ้น ดังนั้นมันก็ยังมีปัจจัยเหล่านี้ที่ร้านใหญ่ๆ ใช้และสามารถขึ้นเป็นร้านค้าเบอร์ต้นๆ ของ Shopee ด้วยเช่นกัน ซึ่งบางคนอาจจะรู้อยู่แล้วแต่ยังไม่เคยลองทำ ลองเอาไปทำดูสักครั้งแอดเชื่อว่าร้านของคุณต้องดีขึ้นมากๆ อย่างแน่นอน


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
10 แอพที่จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างไหลลื่นมากขึ้นในปี 2022

10 แอพที่จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างไหลลื่นมากขึ้นในปี 2022

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

งานในแต่ละวันของหลายคนอาจจะมีเยอะแยะมากมายจนไม่สามารถจัดการและจัดระเบียบได้ไหว นอกจากนี้ยังไม่สามารถทำได้รวดเร็วเท่ากับความต้องการของตัวเราเองด้วย จะดีกว่ารึเปล่าถ้ามีแอพสำหรับช่วยทุ่นเวลาในการทำงาน และสามารถจัดการระเบียบงานได้ดีมากยิ่งขึ้นกับ 10 แอพที่จะช่วยให้ทำงานได้อย่างไหลลื่น

10 แอพที่จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างไหลลื่นมากขึ้นในปี 2022 (กดเลือกอ่านได้)

1. Trello

Trello เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการจัดระเบียบการทำงานให้ดูง่ายและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้บุคคลอื่นๆ ก็สามารถทำงานร่วมกันภายในบอร์ดได้ หากเราต้องการทำงานไหนก็สามารถสร้างการ์ดรายละเอียดงานและติดแท็กให้กับผู้รับผิดชอบงานนั้นๆ ได้ด้วย และ Trello ยังสามารถเชื่อมต่อการทำงานกับแอพอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกเช่น Google Drive, Drop Box ฯลฯ

Trello

2. Rescue Time

ในปัจจุบันสมาร์ทโฟนเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราอย่างมาก เรียกได้ว่ามันเป็นปัจจัยที่ 5 ที่คนไม่สามารถขาดได้แล้ว ซึ่งบางครั้งเราใช้งานสมาร์ทโฟนมากเกินไปอาจจะเสียเวลาและเปล่าประโยชน์ได้ แอพ Rescue Time มันจะทำการจับเวลาความสนใจในการใช้งานสมาร์ทโฟน เพื่อให้เราจัดการเวลาได้ดีมากยิ่งขึ้น

3. Teamviewer

โปรแกรมสำหรับการทำงานระยะไกลในการเข้าใช้งานคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ โดยเฉพาะการทำงานของบริษัทต่างๆ ที่อาจจะมีการใช้ซอฟท์แวร์บางอย่างเฉพาะของที่ออฟฟิศ เราก็สามารถใช้ TeamViewer เข้าไปทำงานในคอมของออฟฟิศได้ตลอดเวลาตราบใดที่ยังไม่หลุดจากการเชื่อมต่อ

Teamviewer

4. Slack

สำหรับช่วง Work From Home การติดต่อสื่อสารและการประสานงานระหว่างทีมก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งแอพพลิเคชั่น Slack สามารถช่วยให้คุณทำงานกับทีมได้ดี เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน บน Slack เราสามารถแยกแชทในแต่ละโปรเจคได้เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน นอกจากนี้การโยนไฟล์ลงไปใน Slack ก็ไม่มีวันหมดอายุด้วย

5. SignEasy

หากใครที่มีความจำเป็นต้องเซ็นเอกสารในทุกๆ วัน แอพ SignEasy สามารถตอบโจทย์ตรงนี้ได้ดีมาก มันรองรับไฟล์ได้หลากหลายไฟล์เช่น PDF, Word, Excel และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้มีสีให้เลือกอย่างหลากหลาย และสามารถเชื่อมต่อเข้ากับแอพต่างๆ ในการเซ็นและการส่งเอกสารได้ด้วย

เซ็นเอกสารออนไลน์

การเขียนพาดหัวให้ปังทำได้ไม่ยาก เพิ่มยอดขายได้ชัวร์ ก็อปวางเป็นของคุณได้ทันทีแบบง่ายๆ

6. การแชร์ไฟล์ระหว่างกัน

แน่นอนว่าถ้าคุณยัง Work From Home อยู่ก็คงหนีไม่พ้นการส่งงานผ่านช่องทางออนไลน์ และบางครั้งก็ไม่สามารถส่งไฟล์ขนาดใหญ่ผ่านช่องทางที่เราใช้สนทนาอยู่ทุกวันได้ หากต้องการแชร์ไฟล์ที่มีขนาดใหญ่ให้กับคนอื่น แอพเหล่านี้สามารถใช้งาน เพียงแค่โยนไฟล์และเอาลิงค์ให้กับผู้อื่นก็สามารถส่งได้แล้ว

Google Drive, Drop Box, Wetranfer

Google Drive

7. Todoist

เป็นแอพพลิเคชั่นที่ช่วยจัดการในสิ่งที่เราต้องทำในแต่ละวัน มีลักษณะคล้ายกับ Trello เลย คุณสามารถกำหนดเวลาเริ่มงานและเวลาที่ควรจะเสร็จงานชิ้นนั้นๆ ได้ด้วย นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อเข้ากับอีเมลของเราได้อีกด้วย เวลามีใคร Assign หรือเพิ่มเติมอะไรก็จะมีเมลแจ้งเตือนเข้ามา

8. Google Drive

แอพที่ครอบคลุมกับการทำงานของเราได้มากที่สุด ไม้ว่าจะเป็นการฝากไฟล์งานหรือส่งไฟล์งานหากันก็สามารถทำได้ รวมถึงการสร้างเอกสารออนไลน์ที่จำเป็นต้องทำร่วมกันในทีมก็ทำได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ได้อีกด้วย เป็นอีกหนึ่งแอพที่ไม่ควรพลาดเลยสำหรับการทำงาน

Google Drive

9. App Canva

แอพพลิเคชั่นสำหรับการทำรูปภาพในการโฆษณาหรือทำ Artwork แบบเร่งด่วนก็สามารถใช้ Canva ทดแทนในการออกแบบได้ระดับหนึ่ง เหมาะอย่างมากสำหรับคนที่ต้องการงานด่วนจี๋และมีรูปแบบที่สวยงาม Canva ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยทำทั้งรูป รวมถึงทำพรีเซนต์แบบ Powerpoint ก็ทำได้เช่นกัน

10. Zapier

เป็นแอพที่รวบรวมแอพการทำงานหลายตัวให้อยู่ในที่เดียว ไม่ต้องเปิดสลับไปมาให้เสียเวลา เพียงแค่เราเชื่อมต่อกับแอพที่เราใช้งานประจำเราก็สามารถ Control แอพทั้งหมดผ่าน Zapier ได้แล้ว ยกตัวอย่างเช่น Gmail Google drive

สรุป

จาก 10 แอพที่ได้แนะนำไปสามารถช่วยให้คุณทำงานได้สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และประหยัดเวลาในการทำงานได้พอสมควร นอกจากนี้เรายังจัดการงานได้อย่างเป็นระบบระเบียบ ลำดับงานก่อนหลังได้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อการทำงานได้อย่างสูงสุด


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
10 เครื่องมือการตลาดออนไลน์ที่คุณควรใช้ ทำให้ง่ายต่อธุรกิจมากขึ้น

10 เครื่องมือการตลาดออนไลน์ที่คุณควรใช้ ทำให้ง่ายต่อธุรกิจมากขึ้น

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

จากการเกิดโรคระบาดทำให้โลกออนไลน์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพราะผู้คนต่างก็เกรงกลัวติดโรคจึงลดปฏิสัมพันธ์ทางด้านโลกภายนอกกันชั่วคราว และหันมาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการติดต่อกันมากขึ้น จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลายธุรกิจก็ใช้แพลตฟอร์มต่างๆ บนโลกออนไลน์เข้ามาช่วยทำการตลาดและพัฒนาธุรกิจ ทีนี้เมื่อผู้คนใช้โลกออนไลน์เป็นหลัก สิ่งที่ขาดไม่ได้กับธุรกิจเลยคือ “เครื่องมือการตลาดออนไลน์” โดยหลักๆ จะมีดังนี้

1. Website

เว็บไซต์เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือด้านการตลาดออนไลน์ที่คุณสามารถนำไปต่อยอดกับธุรกิจได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำ SEO SEM โฆษณาต่างๆ รวมถึงการเชื่อมต่อ Facebook เพื่อ Retargeting ทำ Conversions ต่อได้จากการติด Pixel ให้กับเว็บไซต์ โดยส่วนมากแล้วสำหรับคนขายของทั่วไปที่มีสินค้าไม่เยอะก็มักจะเลือกใช้ Sale Page เข้ามาทำเป็นหลักเพื่อให้ปิดการขายได้ง่ายขึ้น

การทำเว็บไซต์ในสมัยนี้ก็ไม่ได้มีความยากเหมือนกับเมื่อก่อน เพราะสมัยนี้มีแพ็คเกจในการสร้างเว็บไซต์ด้วยตนเองมากมายหลายเจ้า มีเจ้าให้บริการ Sale Page ทำเว็บไซต์สำเร็จรูปต่างๆ ลากวางแล้วก็ใช้ได้เลยก็มี แต่หลังๆ คนก็เริ่มใช้ WordPress ทำกันเยอะมากขึ้น มันมีความง่ายในการปรับปรุง แถมยังเป็นมาตรฐานสำหรับ Google อีกด้วย และต่อยอดในอนาคตได้หลากหลาย

2. SEO & SEM

การทำ SEO & SEM จะทำอยู่บนเว็บไซต์เป็นหลัก ในเครื่องมือนี้จะเป็นตัวช่วยในการทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสที่จะค้นหาเจอได้ง่ายดายมากขึ้น ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ถ้าคุณเป็นคนขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่าง “ทีวี” คุณก็เขียนบทความที่มีคำเกี่ยวข้องกับทีวีได้ หากเข้าใจหลักการในการทำ SEO และเข้าใจกับ Google ได้ในระดับหนึ่ง มันก็จะช่วยพาให้เว็บไซต์ของคุณทะยานสู่อันดับแรกๆ เมื่อลูกค้าค้นหาคำว่าทีวีใน Google ได้ แต่ไม่ใช่ว่ามันจะง่ายอย่างที่คิด มันต้องใช้เวลาในการทำและต้องใส่ใจมันพอสมควรถึงจะติดอันดับใน Google ได้

ยิ่งสำหรับคนที่ใช้ WordPress ก็จะมีความได้เปรียบตรงที่มี Plugin สำหรับการทำ SEO โดยเฉพาะ ซึ่งจะนิยมใช้กัน 2 ตัวคือ Yoast SEO และ RankMath มาช่วยในการทำให้มีไกด์ไลน์และทำได้ง่ายยิ่งขึ้น มันไม่ได้ส่งผลต่อการจัดอันดับแต่อย่างใด เป็นเพียงแค่ปลั้กอินสำหรับไกด์ไลน์การทำ SEO เท่านั้น

ทำ SEO

ทำ SEO สังเกตได้ว่าจะไม่มีคำว่า “โฆษณา” อยู่ด้านหน้า URL 

ส่วนคนที่ไม่ชำนาญเรื่องการทำ SEO แต่ชำนาญเรื่องโฆษณาก็อาจจะลองใช้ SEM ช่วยทำให้เว็บไซต์ติดอันดับแรกได้เช่นกัน แต่ก็ต้องใช้เงินทำและเลือกคีย์เวิร์ดให้ดี

ทำ SEM

ตัวอย่าง SEM สังเกตง่ายๆ จะมีโฆษณานำหน้า

3. โฆษณาบนโลกออนไลน์

ทุกแพลตฟอร์มเกี่ยวกับ Social Media ก็จะมีเครื่องมือสำหรับช่วยทำการตลาดออนไลน์อยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการโฆษณาที่จะเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้มากขึ้น ใม่ว่าจะเป็นการทำโฆษณาผ่านทาง Facebook Instagram LINE Official หรือแม้กระทั่งแพลตฟอร์มอื่นๆ แต่หลายคนก็มักจะใช้ Facebook เป็นตัวโฆษณาหลักเพื่อเชื่อมต่อกลุ่มเป้าหมายให้ไปยังปลายทางที่เราต้องการได้เช่นกัน อันนี้ก็ต้องแล้วแต่วัตถุประสงค์ของแต่ละคน

FB Library

ตัวอย่างโฆษณาที่ Google ทำบน Facebook

4. Google Trends

Google Trends ถึงแม้จะเป็นเครื่องมือฟรีที่ดูไม่มีอะไร แต่รู้หรือไม่ว่ามันสามารถช่วยบอกลำดับการค้นหายอดนิยมแบบคร่าวๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับสายขายของออนไลน์แล้วเครื่องมือนี้ก็พลาดไม่ได้เช่นกัน เพราะเราสามารถนำชื่อสินค้าที่คนเรียกๆ กันไปค้นหาได้เช่นกัน ซึ่งเราอาจจะต้องหานิดนึงว่าสินค้าตัวนั้นคนมักจะพิมพ์ว่าอะไร แล้วเราก็ไปค้นหาใน Google Trends เพื่อเช็คได้เลย รวมถึงมันจะมีแนะนำคำค้นหาที่เกี่ยวข้องให้กับเราด้วย

เครื่องมือเช็คคีย์เวิร์ด
เครื่องมือทำ SEO

ประหยัดต้นทุนในการทำโฆษณาลง 30% และค้นหากลุ่มเป้าหมายให้กับธุรกิจได้แม่นยำยิ่งขึ้นด้วย InterestPRO

6. Mandala Analytics เครื่องมือช่วยในการฟังเสียงของลูกค้า

สำหรับโลกออนไลน์ไม่ว่าแพลตฟอร์มใดๆ ก็ตามหากใครมีข้อมูลมากเท่าไหร่ ก็สามารถทำให้บริษัทมีความก้าวหน้าได้มากยิ่งขึ้น หากสามารถนำข้อมูลตรงนั้นไปต่อยอดได้ โดยเครื่องมือ Mandala Analytics จะช่วยให้คุณเข้าถึง Insights ของผู้บริโภคในแต่ละแพลตฟอร์มทั้ง Facebook Instagram Twitter YouTube และอื่นๆ ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้คุณเอาข้อมูลตรงนั้นมาต่อยอด ปรับปรุง พัฒนา รวมถึงทำแคมเปญทางการตลาดใหม่ๆ ให้ตรงใจกับผู้บริโภคได้ และช่วยให้เราเข้าถึงประเด็นของผู้บริโภคได้อย่างง่ายที่สุด

Tips : Mandala Analytics มีให้เราทดลองใช้ฟรี 14 วันด้วย สามารถเข้าไปลองใช้งานได้ที่ลิงค์นี้เลย

www.mandalasystem.com

Mandala Analytics

เครื่องมือ Social Listening Tools ของ Mandala Analytics

7. Mailchimp

เป็นระบบที่เหมาะสำหรับทำ Email Marketing โดยเฉพาะ และได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานทั่วโลก สำหรับผู้ที่เริ่มธุรกิจใหม่ๆ และยังไม่มี email ของลูกค้ามากอาจจะยังไม่เหมาะนัก แต่ถ้าธุรกิจของคุณมี Email ลูกค้าเยอะแล้วก็แนะนำให้ใช้ Mailchimp ช่วยในการทำการตลาด สามารถเช็ค Track ได้ด้วยว่ามีคนเปิดอ่านกี่คน ส่งสำเร็จกี่คน การเข้าชมกี่คน เป็นต้น

Mailchimp

เว็บไซต์ Mailchimp

8. Google Analytics

เป็นเครื่องมือฟรีจาก Google ที่คนทำเว็บไซต์ควรติดตั้งอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้เรารู้ได้ว่าแหล่งที่มานั้นมาจากไหน โดยจะมีหน้า Dashboard ให้เราเลือกได้ว่าจะดู Stat ในช่วงไหน หน้าไหนที่เราได้รับความนิยมจากลูกค้ามากที่สุด รวมถึงยังดู “โฟลวพฤติกรรม” ของลูกค้าได้ด้วยว่าเมื่อเข้าเว็บไซต์เราแล้วลูกค้าไปที่ไหนต่อหรือออกจากเว็บเราเลย เป็นเครื่องมือที่ดีอย่างยิ่งในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูล

Google Analytics

เว็บไซต์ Google Analytics ที่ใช้สำหรับเชื่อมต่อกับเว็บของเรา

9. Manychat

Manychat เป็นเครื่องมือที่เชื่อมต่อกับ Messenger ช่วยในการตอบคำถามเบื้องต้นได้อย่างง่ายดาย โดยเราสามารถเซตได้ทั้งคำถามและคำตอบเลย นอกจากใช้ช่วยตอบปัญหาหรือคำถามบน Facebook แบบเบื้องต้นแล้ว บน Instagram ก็สามารถใช้ได้ด้วยเช่นกัน ความล้ำของ Manychat อีกอย่างคือสามารถบันทึกข้อมูลต่างๆ อย่างเช่น อีเมล เบอร์โทรศัพท์ ส่งคูปอง ส่งจดหมายข่าวได้อีกด้วย

Chatbot Facebook

ทดลองใช้ Manychat

10. LINE Official Account

จะบอกว่าถูกจัดเป็นเครื่องมือทางการตลาดก็สามารถจัดไว้ได้ด้วยเช่นกันสำหรับ LINE Official Account นอกจากจะสามารถใช้แชทแบบส่วนตัวกับลูกค้าของเราได้แล้ว เรายังสามารถทำโฆษณา เก็บฐานลูกค้า ประชาสัมพันธ์บรอดแคสต์ ทำ LINE My Shop ที่ให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้ทันที และทำสิ่งต่างๆ ได้มากมายอีกด้วย หลายๆ องค์กรรวมถึงคนค้าขายทั่วไปยังเลือกใช้ LINE Official Account มาช่วยในการทำการตลาดออนไลน์ได้อีก จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเพราะทำไมถึงได้ติดเป็นเครื่องมือทางการตลาดได้

สรุป

จากเครื่องมือทั้ง 10 ตัวนี้ก็มีบางธุรกิจที่ใช้ช่วยทำการตลาดออนไลน์ทั้งหมดเลยก็มี เพราะที่เรายกมานั้นเป็นพื้นฐานที่ทุกธุรกิจอย่างน้อยต้องมีตัวใดตัวนึงอยู่ในนี้อย่างแน่นอน ของทาง Marketing In Secret เองก็ใช้เครื่องมือเหล่านี้ครบถ้วน เพื่อช่วยส่งข่าวสาร อัพเดทสาระทางการตลาดให้กับผู้ติดตามอยู่เสมอเช่นกัน หากใครชอบตัวไหนหรืออยากให้เราแนะนำอะไรเพิ่ม สามารถพูดคุยกับเราได้ที่เพจ Facebook : Marketing In Secret ได้เลย


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
Shopping cart0
There are no products in the cart!
Continue shopping