วิธีการหากลุ่มเป้าหมาย Facebook แบบง่ายๆ ให้ได้กลุ่มที่มีคุณภาพมากที่สุด

วิธีการหากลุ่มเป้าหมาย Facebook แบบง่ายๆ ให้ได้กลุ่มที่มีคุณภาพมากที่สุด

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

การทำโฆษณา Facebook หรือที่เราเรียกกันว่า “ยิงแอด Facebook” แต่ละครั้งเราต้องมานั่งปวดหัวตลอดว่าจะเลือกกลุ่มเป้าหมาย Facebook ตัวไหนดี กลุ่มนี้ไม่เวิร์คแล้วจะไปตรงไหนต่อได้หรือจะเป็นการทำโฆษณา Facebook ครั้งแรกก็ยังนึกไอเดียไม่ออก หรือหากลุ่มเป้าหมายที่ตัวเองต้องการไม่เจอ งั้นเรามาลองหาไอเดียร่วมกันดีกว่า แล้วนำไปปรับใช้กันดู

1. กลุ่มเป้าหมายของเราเป็นใคร?

กลุ่มเป้าหมาย

สำหรับการยิงแอด Facebook เราก็ต้องรู้ก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายของเราเป็นใคร โดยหลักๆ Facebook จะมีสิ่งที่ต้องกำหนดเมื่อเราต้องทำโฆษณาแบบปกติอยู่ 3 – 4 ตัว ซึ่งหากเรามองตัวโฆษณา Facebook นี้ดีๆ ก็จะเหมือนกับ Market Segment การแบ่งส่วนตลาดนั่นเอง (แต่ Facebook เอามากำหนดแบ่งเป็นกลุ่มเป้าหมาย)

  1. กำหนดตำแหน่งที่ตั้ง
  2. กำหนดอายุ เพศ
  3. กำหนดตามความสนใจหรือพฤติกรรม
  4. ภาษา (แล้วแต่ธุรกิจจะใช้ ขึ้นอยู่กับสินค้าและบริการด้วย)
กลุ่มเป้าหมาย Facebook

คร่าวๆ ให้เราทำความเข้าใจกับสินค้าหรือบริการของเราก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายของเราจะเป็นใคร แล้วเราถึงไปกำหนดใส่กลุ่มเป้าหมายใน Facebook อีกครั้งหนึ่ง

สมมติว่าขายหม้อทอดไร้น้ำมัน

กลุ่มเป้าหมายที่คาดว่าจะใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวอายุ 25 – 50 ปี เน้นกลุ่มคนที่ชอบทำอาหาร หรือมีงานอดิเรกเกี่ยวกับด้านอาหาร หรือเป็นคุณแม่บ้าน ส่วนตำแหน่งที่ตั้งไม่ว่าจะอยู่จังหวัดใดก็ใช้งานได้ อันนี้เดียวให้ Facebook บอกอีกทีว่าที่ไหนมีแนวโน้มมากที่สุดค่อยเน้นจุดนั้น

เมื่อได้ประมาณนี้เท่ากับว่าเราก็จะได้กลุ่มเป้าหมายเบื้องต้นมาแล้ว 1 ชุดนั่นเอง แล้วเดียวเราเอาไปเช็คกันว่าสิ่งที่เราคิดจะพอตรงกับกลุ่มเป้าหมายของ Facebook หรือไม่

2. 6W1H เอามาปรับใช้ให้เข้าใจสินค้าตัวเองมากขึ้น

6W1H

หากใครยังนึกไม่ออก สามารถใช้หลักการ 6W1H ที่เป็นทฤษฎีทำให้เราเข้าใจผู้บริโภคมากขึ้น แต่ประยุกต์ใช้กับสินค้าหรือบริการของตัวเอง ซึ่งนำมาวิเคราะห์ได้ใกล้เคียงกัน ช่วยในการทำความเข้าใจกับสินค้าหรือบริการคุณได้เช่นกัน และน่าจะเห็นภาพได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงมันยังสามารถช่วยให้เรากำหนดกรอบของกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการนำเสนอได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย

1. What สินค้าของคุณคืออะไร

แล้วทำไมกลุ่มลูกค้าของคุณต้องซื้อ ตรงนี้อาจจะมองหาจุดขายของผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ เช่น หม้อทอดไร้น้ำมัน ช่วยเรื่องสุขภาพจากการไม่ใช้น้ำมัน หรือการบริการซ่อมรถยนต์เจ้าอื่นอาจจะซ่อมรถธรรมดาแต่งรถแบบทั่วๆ ไปได้ แต่ของเราสามารถปรับแต่งรถธรรมดาให้กลายเป็น Sport ได้ เป็นต้น

2. Where เราจะไปจัดจำหน่ายที่ช่องทางใดบ้าง

แล้วกลุ่มเป้าหมายจะเห็นสินค้าหรือบริการเราได้ที่ไหน? โดยบางสินค้าอาจจะเหมาะกับบางช่องทางเท่านั้น เช่น ขายอสังหาริมทรัพย์ เหมาะกับการขายบนเว็บไซต์มากกว่าเพราะลูกค้าต้องหาข้อมูลเพื่อตัดสินใจเยอะ ส่วนช่องทาง Social Media ต่างๆ เป็นตัวปูพรมให้ลูกค้าเข้าไปอ่านรายละเอียดต่างๆ บนเว็บไซต์ของเรา หรือถ้าหม้อทอดอาจจะขายบน Facebook, Instagram ได้ดีกว่าบนเว็บไซต์ หรือใช้ Twitter เป็นตัวส่งเสริมเทรนด์การใช้หม้อทอดไร้น้ำมันทำอาหาร

3. When เมื่อไหร่ที่กลุ่มเป้าหมายลูกค้าจะซื้อของเรา

ความถี่เป็นต่อวัน ต่อเดือน หรือต่อปี หรือครั้งเดียว ตรงนี้เหมือนจะไม่สำคัญ แต่จริงๆ แล้วสำคัญต่อการกำหนดราคาความคุ้มค่าในการขาย รวมถึงสำคัญต่อการหาลูกค้าด้วยเช่นกัน หากสินค้าของคุณขายให้ลูกค้าคนเดิมได้แค่ปีละครั้ง สินค้าชิ้นนั้นได้กำไรแค่ 5% ซึ่งน้อยมากๆ พอคุณเห็นและพิจารณาย้อนกลับมาคิดทีหลังมันอาจจะทำให้หมดกำลังใจได้เพราะรู้สึกไม่คุ้มค่า

4. Why เหตุผลที่ทำไมลูกค้าต้องเลือกเราหรือซื้อของเรา?

การซื้อสินค้าของกลุ่มเป้าหมายหรือทุกๆ คน ย่อมมีตัวเลือกในใจมากกว่าหนึ่งอยู่แล้ว (ยกเว้นแต่เป็นสินค้าที่ทำได้เจ้าเดียวในโลกนะ) ดังนั้นหากคุณอยากจะให้กลุ่มเป้าหมายเลือกคุณมากกว่า คุณก็ต้องทำให้ตัวเองมีจุดเด่นมากกว่าเจ้าอื่นให้ได้ เช่น ขายอุปกรณ์ Smart Home รักษาความปลอดภัยในบ้าน เจ้าอื่นอาจจะมีบริการสั่งซื้อแล้วมีวิดีโอสอนการใช้งานการติดตั้งมาให้ แต่เราทำให้เหนือกว่าและเพิ่มมูลค่าได้โดยการ “ออกไปติดตั้งให้ถึงบ้าน” เพียงแค่ลูกค้าบวกเงินเพิ่มอีก 500 บาท ก็มีช่างไปติดให้ถึงบ้านทันที เป็นต้น

5. Who สินค้าหรือบริการของเรา ใครเป็นกลุ่มเป้าหมายกันแน่?

สินค้าทุกชิ้นนั้นย่อมมีกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าอยู่ในตัวอยู่แล้ว เพียงแต่เราต้องมองให้ออกว่ากลุ่มเป้าหมายจะเป็นใคร หลายคนที่คิดไม่ออกเพราะว่ามักจะเอาตัวเองเป็น “ผู้ขาย” มากกว่า “ผู้ซื้อ” ลองวางคำขายของคุณลงก่อน แล้วไปยืนในจุดที่ลูกค้าอยู่ว่าถ้าเป็นสินค้าหรือบริการตัวนี้ เราต้องทำยังไงถึงจะใช้มัน เราต้องทำอะไรอยู่ถึงจะได้ใช้มัน

6. Whom สินค้าของเราต้องมีปัจจัยจากคนรอบข้างมากระตุ้นในการซื้อหรือไม่?

หากสินค้าของเราจำเป็นต้องใช้ปัจจัยนั้นก็ต้องมองต่อว่าใครจะเป็นผู้มีอิทธิพลต่อกลุ่มเป้าหมายของเรา เช่น เราทำธุรกิจปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ย่านสถานศึกษา กลุ่มเป้าหมายอาจจะเป็นนักศึกษาที่อยู่ย่านนั้นก็จริง แต่อิทธิพลการตัดสินใจอาจจะอยู่ที่คุณพ่อคุณแม่เพราะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ หรือเราขายเครื่องสำอาง พบว่า Influencer A เป็นนักรีวิวเครื่องสำอาง และรีวิวเมื่อไหร่คนก็ซื้อมาใช้บ้างตลอด ดังนั้นแล้ว Influencer A อาจจะเป็นผู้มีอิทธิพลต่อกลุ่มเป้าหมายของคุณก็ได้

7. How ลูกค้าของเราจะซื้อได้อย่างไร ซื้อได้ที่ไหนบ้าง?

ตรงนี้ไม่น่าจะยากเท่าไหร่ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วลูกค้าก็มักจะซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์เป็นหลักในปัจจุบัน แต่ทีนี้ก็ต้องมาคิดต่ออีกว่ากลุ่มเป้าหมายของเราน่าจะไปอยู่แพลตฟอร์มใดบ้าง ยกตัวอย่างอีก ขายเสื้อผ้าแฟชั่นสุดเก๋สไตล์เกาหลี กลุ่มเป้าหมายก็มักจะอยู่ใน Facebook และ Instagram แต่อาจจะได้ใน Instagram เป็นหลักหากภาพสวย คุมโทนดี หากเราเอาเสื้อผ้าไปลงขายใน Twitter อาจจะได้ยอดขายไม่สู้ช่องทางอื่นๆ เท่าไหร่ ดังนั้นก็ต้องคิดกันเสียหน่อยว่าสินค้าหรือบริการของเรานั้นลูกค้าจะหาซื้อได้ที่ไหนบ้าง

ประหยัดต้นทุนในการทำโฆษณาลง 30% และค้นหากลุ่มเป้าหมายให้กับธุรกิจได้แม่นยำยิ่งขึ้นด้วย InterestPRO

3. เครื่องมือฟรี Facebook Audience Insights 

เครื่องมือ Facebook

เครื่องมือสุดเจ๋งจาก Facebook ที่จะช่วยบอกคุณได้แบบดีมากๆ เลยทีเดียวว่ากลุ่มเป้าหมายที่คุณคิดมานั้นตรงหรือไม่กับกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ใน Facebook ซึ่งจะบอกทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับความสนใจเพจ อายุ ที่อยู่อาศัย อุปกรณ์มือถือที่กลุ่มเป้าหมายนั้นใช้งานอยู่ งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

เริ่มต้นเปิดหน้า Facebook Ads Audience Insights ขึ้นมาก่อนเลย แต่ต้องเปิดบนคอม iPad Tablet หรืออุปกรณ์ที่สามารถปรับแสดงผลเหมือนกับคอมพิวเตอร์ได้นะ หากใช้เวอร์ชั่นโทรศัพท์มันจะไม่สามารถแสดงผลได้

แอดทดลองใช้งานเมื่อ วันที่ 01 มีนาคม 2564 พบว่าการระบุประเทศหรือจังหวัดอาจจะไม่ขึ้นโชว์แสดงผลในช่องที่กรอกว่าเราเลือกเป็นประเทศอะไรหรือจังหวัดใด แต่ข้อมูลจะเด้งโชว์หน้า Dashboard ตามปกติ ระวังสับสนดีๆ อันนี้แอดทดสอบจากคอมเพียงเครื่องเดียว เมื่อทดสอบกับเครื่องอื่นๆ แล้วได้ผลอย่างไรจะมาอัปเดตอีกครั้งจ้า

เข้าลิงค์แล้วก็จะเจอหน้าตาแบบรูปด้านล่าง ให้กดเลือก “ทุกคนบน Facebook”

FB Audience

ต่อมาในวงสีแดงให้เราใส่ประเทศหรือจังหวัดที่เราต้องการ แต่ในที่นี้แอดจะใส่ “ประเทศไทย” ลงไปเลย ส่วนที่ขีดเส้นใต้ไว้คือเราสามารถดูได้ว่าเราเลือกดูข้อมูลประเทศอะไรอยู่

เลือกประเทศไทย

เลือกเกณฑ์อายุที่เรากำหนดไว้ และเพศที่เราต้องการหากลุ่มเป้าหมาย Facebook ได้เลย

เลือกอายุ

ต่อมาให้เราใส่ความสนใจที่เราลิสต์ไว้เบื้องต้นลงไปได้เลย แล้วหน้า Dashboard ก็จะเปลี่ยนไป

ในรูปหมายเลข 1 แอดค้นหาในช่องด้วยคำว่า “ฟุตบอล”

หมายเลข 2 คือแอดกดมาที่ “การกดถูกใจเพจ”

ความสนใจ

เบื้องต้นส่วนตัวแอดจะดูก่อนว่าตรงการถูกใจเพจกับหมวดหมู่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายที่เรากรอกลงไปหรือไม่ เน้นว่าการถูกใจเพจถ้าสัก 3 – 6 อันดับแรกใกล้เคียงกับธุรกิจเราก็ถือว่ากลุ่มเป้าหมายนี้ไปต่อได้ (ส่วนตัวแอดพยายามให้ได้ 5 ถึง 6 กลุ่ม จะได้ตรงมากขึ้น) ส่วนหมวดหมู่เองก็เช่นกัน แต่ในภาพด้านล่างถ้าทำธุรกิจรับตัดเสื้อทีมบอล อาจจะต้องหา Scope กลุ่มเป้าหมายให้ได้ชัดเจนมากกว่านี้

ถูกใจเพจ

นอกจากนี้เราสามารถดูหัวข้ออื่นๆ ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่ตั้ง กิจกรรม ข้อมูลประชากรศาสตร์ เพื่อที่เราจะได้นำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์คาดการณ์เกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายได้

รวมข้อมูล

ทั้งนี้เวลาแอดทำจะใช้คู่กับ Facebook Ads Manager ด้วยในการค้นหา เนื่องจากว่าใน Audience Insight จะไม่บอกว่าจริงๆ แล้วกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้เป็นความสนใจ หรือเป็นตำแหน่งงานกันแน่ เพื่อให้เลือกได้ตรงตามความต้องการก็เลยใช้คู่กัน ดูความแตกต่างได้จากภาพด้านล่างเลย

Ads Manager

Ads Manager มีบอกว่าเป็นความสนใจหรืออะไร

หากลุ่มเป้าหมาย

Audience Insights ไม่มีบอกว่าคืออะไร

หากเราหากลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับความต้องการของเราได้แล้ว ก็นำกลุ่มเป้าหมายนั้นไปยิงแอด Facebook ได้เลยทันที

4. หาด้วยโปรแกรมเจาะกลุ่มเป้าหมาย InterestPRO

InterestPRO

กลุ่มเป้าหมายที่ Facebook แสดงอยู่นั้นมีจำนวนน้อยมากๆ ยิ่งสำหรับกลุ่มเป้าหมายลึกๆ แล้ว Facebook นี่ไม่เอาขึ้นมาโชว์เลยหากเราพิมพ์คำหรือคีย์เวิร์ดนั้นๆ ไม่ถูก แถมบางคำพิมพ์ตรงแล้วก็ยังไม่ขึ้นอีกต่างหาก ดังนั้นแล้วเนี่ย “โปรแกรมเจาะกลุ่มเป้าหมาย” ก็เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้หากลุ่มเป้าหมายที่แอบซ่อนอยู่ของ Facebook ด้วยการดึง API จากโฆษณา Facebook ออกมาเป็นกลุ่มเป้าหมายให้เราเลือกได้เลย

ข้อนี้แอดจะหากลุ่มเป้าหมายด้วยโปรแกรมเจาะกลุ่มเป้าหมายของ InterestPRO นะครับ

ก่อนอื่นเลยให้เข้าเว็บนี้ https://interestpro.co/

เจาะกลุ่มเป้าหมาย

เบื้องต้นเราก็สามารถไปทดลองใช้งานฟรีได้นะ ส่วนของแอดใช้แบบเสียเงินเรียบร้อย

สมมติว่าแอดขายอาหารเพื่อสุขภาพจำพวกสลัดผัก สลัดอกไก่ ไข่ แซนวิซเพื่อสุขภาพ เดียวแอดลองหากลุ่มเป้าหมายจาก InterestPRO ก่อนว่าจะมีอะไรบ้าง แล้วแอดจะเอาไปใส่ใน Facebook Audience Insights ของ Facebook อีกทีว่ากลุ่มเป้าหมายนั้นตรงกับความต้องการของแอดรึเปล่า

สมัครฟรี

ทดลองใช้ฟรี

สมัครแพ็กเกจ

แพ็คเกจแบบเป็นสมาชิกเรียบร้อย

ในภาพด้านล่าง แอดลองหาคำง่ายๆ เลยเอาแบบกว้างมากๆ แอดไม่มีไอเดียกลุ่มเป้าหมายนี้ เลยต้องให้ InterestPRO ช่วยขุดขึ้นมาให้ว่ามันมีอะไรน่าสนใจบ้าง

เจาะเป้าหมาย

ต่อมาแอดรู้สึกว่ากลุ่มเป้าหมายที่เลือกมานั้น อาจจะยังดูไม่เจาะจงมากพอ เลยว่าจะหาอีกกลุ่มไว้เพื่อนำกลุ่มเป้าหมายนั้นมาจำกัดให้แคบลง และสร้างความแม่นยำให้กับชุดโฆษณามากขึ้น เลยจะหากลุ่มเป้าหมายคนเล่น “Fitness” มาเพิ่มสักหน่อย

แอดไม่รู้เลยว่ากลุ่มไหนกันแน่ที่อาจจะพอเข้ากันได้กับอาหารเพื่อสุขภาพของเราเลยเลือกมาก่อน เดียวมาเช็คใน Facebook Audience Insights อีกทีเดียวมาอธิบายเหตุผลให้ฟังนะว่าขายอาหารเพื่อสุขภาพ เกี่ยวอะไรกับฟิตเนส แต่ถ้าใครเข้าใจแล้วจุ๊ๆ ไว้ก่อนนะ

เลือกกลุ่มเป้าหมาย

ได้กลุ่มเป้าหมายแล้ว ทีนี้มาเข้าสูตรกันใน Facebook Audience Insights ทีละตัวได้เลย

กลุ่มเป้าหมายรูปด้านล่างไม่น่าจะเหมาะกับแอดเท่าไหร่ ถึงแม้จะมีฟิตเนสอยู่ด้วย แต่ไม่น่าจะกินสลัดร้านแอดอิ่มแน่ๆ ฉะนั้นจะตัดกลุ่มนี้ออก (จริงๆ แล้วแต่คนนะว่าจะใช้กลุ่มนี้หรือไม่ใช้ก็ได้ แต่ส่วนตัวแอดขอเช็คตัวอื่นก่อนเดียวกลุ่มเป้าหมายจะไปตีกันมากเกินไป)

ลองหาความสนใจ

ส่วนอันล่างแอดว่าโอเคสำหรับแอดแล้ว ก็จะบันทึกลงไปในโน้ตเพื่อเก็บไว้ใส่ในช่อง Interest ของ Facebook Ads Manager เลย

ได้กลุ่มเป้าหมาย

หากเพื่อนๆ มีกลุ่มเป้าหมายอยู่ในมือแล้วแต่ยังไม่มั่นใจว่าจะตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการรึเปล่า เราก็สามารถนำกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวไปเช็คได้ใน Facebook Ads Audience Insights ได้เลย หากกลุ่มเป้าหมายตรง เราก็ค่อยก้อปไปไว้สำหรับยิงโฆษณา Facebook ต่อไป

ก้อปกลุ่มเป้าหมาย

5. ไอเดียหากลุ่มเป้าหมาย Facebook

ไอเดียโฆษณา

ทำโฆษณา Facebook Ads แต่ละครั้งเราแทบจะหากลุ่มเป้าหมายใหม่เกือบทุกรอบ หรือสำหรับคนที่ทำแอด Facebook ใหม่ๆ อาจจะยังงงว่าต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายยังไง หรือจะต้องใส่ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายสินค้า

ต้องบอกเลยว่าอาจจะไม่ได้ผล เพราะสิ่งที่คิดกับสิ่งที่ Facebook มี กลุ่มเป้าหมายเค้าไม่ได้ตรงเป๊ะๆ ขนาดนั้น เราจึงต้องมาหากลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติมผสมผสานเพื่อให้ลงตัวมากยิ่งขึ้น เหมือนกับการผสมสีต่างๆ ให้ได้สีที่เราต้องการนี่แหละ

ใส่กลุ่มเป้าหมายแบบผสม

การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย Facebook ไม่จำเป็นเพียงแค่เราต้องใส่ชื่อตรงๆ หรือใส่ให้ตรงกับตัวสินค้าเท่านั้น เราสามารถนำกลุ่มเป้าหมายมาผสมรวมกันได้หากเป็นพฤติกรรมใกล้เคียงกันเพื่อให้โฆษณา Facebook ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการมากที่สุด ตัวอย่างเช่น ขายครีมทาผิว ก็สามารถใส่กลุ่มเป้าหมายเครื่องสำอางหรือคลินิกเสริมความงามได้ เพราะจัดอยู่ในหมวดที่ใกล้เคียงกัน

ไปส่องในเพจที่ใกล้เคียงกับเรา

ลองไล่ดูจากเพจคนอื่นว่าคนที่มาคอมเมนต์หรือมาถูกใจเพจเค้าบ่อยๆ ที่ทำไมถึงมา ลักษณะพฤติกรรมเป็นอย่างไร เพื่อที่เราจะได้นำมาปรับปรุงโฆษณาของเราและกลุ่มเป้าหมายของเรา ดังตัวอย่างข้างล่าง สมมติแอดทำเพจเกี่ยวกับคลิปวิดีโอ ก็เข้าไปดูเพจที่ใกล้เคียงกับเราว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นใคร ลักษณะเป็นอย่างไรในเบื้องต้น และนำมาวิเคราะห์ต่อเพื่อทำโฆษณาหรือคอนเทนต์ต่างๆ

ดูในคอมเมนต์

ไปไล่ดูจากโฆษณาที่ส่งมาหาเรา

เราสามารถเข้าไปเลือกดูโฆษณาของคู่แข่งหรือบุคคลที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกับคุณ และยังสามารถแอบดูกลุ่มเป้าหมายเบื้องต้นได้อีกด้วย สามารถทำตามรูปด้านล่างได้เลย

Lazada

วิธีแอบดูโฆษณาที่ส่งมาหาเรา

วิธีดูโฆษณา

กลุ่มเป้าหมายที่ Facebook Ads ส่งมา

หาไอเดียโฆษณาเพื่อเอามาปรับใช้กับเพจตัวเองด้วย Facebook Ads Library

เริ่มต้นให้เราเข้าลิงค์นี้ก่อน : Facebook Ads Library เมื่อเข้าเรียบร้อยแล้วก็ทำการกรอกชื่อเพจที่เราต้องการลงในกรอบที่แอดวงไว้เลย อ้อ!! อย่าลืมกดเลือกทั้งหมดนะ ไม่ต้องเลือกประเด็นทางการเมือง

Ads Library

ในตัวอย่างแอดจะกรอกเป็นเพจ Google Ads เท่านี้เราก็จะเห็นโฆษณาของ Google Ads แล้วว่ามีโฆษณาอะไรบ้าง เขียนแคปชั่นยังไง ยิ่งเป็นการยิงแอดจากโพสต์เราก็สามารถไปค้นหาในเพจได้เลยว่าผลตอบรับดีหรือไม่กับการทำโฆษณารูปแบบนั้น แล้วเราก็นำไปปรับใช้เอา

FB Library

สรุป

การหากลุ่มเป้าหมาย Facebook เท่าที่เจอส่วนใหญ่มักจะนึกไม่ค่อยออก หรือไม่รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของสินค้าตัวเองเป็นอย่างไร เบื้องต้นเราสามารถเอากลุ่มเป้าหมายที่เราคิดไว้ในใจไปเช็คใน Facebook Audience Insights

เพื่อเช็ครายละเอียดว่ากลุ่มเป้าหมาย Facebook นั้นมีความเกี่ยวข้องหรือน่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายของเราหรือไม่ เท่านี้ก็ช่วยสำหรับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อยิงแอด Facebook ได้แล้ว

หรือถ้าต้องการประหยัดค่าโฆษณา Facebook ก็ใช้โปรแกรมเจาะกลุ่มเป้าหมายของ InterestPRO ให้ช่วยหากลุ่มเป้าหมายที่แอบอยู่ และจะช่วยให้คุณประหยัดค่าโฆษณามากขึ้น

แต่อย่าลืม!! ต้องเข้าใจสินค้า พฤติกรรมลูกค้า ด้วยหลัก 6W1H ด้วยนะ ไม่งั้นกลายเป็นว่าคุณก็จะโพสต์หรือทำคอนเทนต์ไม่ได้ตรงใจกับกลุ่มเป้าหมายมากเท่าที่ควร

 

ถึงตาของคุณบ้างแล้วล่ะ

การทำโฆษณา Facebook ให้ได้ผลและประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากการโฟกัสไปที่กลุ่มเป้าหมาย Facebook แล้วก็เช็คคอนเทนต์ รูปภาพ รูปแบบการโฆษณาของเราด้วยว่าตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ เพราะองค์ประกอบที่เล่ามาก็อยู่ในส่วนหนึ่งของการทำแอดให้ปัง ออเดอร์เป็นร้อยเป็นพันด้วย ถ้าอ่านจนจบถึงตรงนี้ ก็พร้อมที่จะไปลุยกันได้เลย

หรือใครยังไม่พร้อม ยังไม่มีความรู้ในการยิงแอด Facebook Instagram ก็กดอ่านบทความเพิ่มเติมได้เลย เนื้อหามีสอดแทรกเคล็ดลับอื่นๆ เพิ่มเติมไว้ด้วย


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
เขียนคอนเทนต์ (Content) แบบไหนดี? ให้ถูกใจทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน

เขียนคอนเทนต์ (Content) แบบไหนดี? ให้ถูกใจทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

ส่วนใหญ่ปัจจุบันเวลาเราจะดึงให้ลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าหรือบริการทั้งในช่องทาง Offline และ Online ก็จะเกิดมาจากการที่เรานำเสนอผ่านช่องทางอย่างโซเชียลมีเดียเพื่อประชาสัมพันธ์ให้กับลูกค้า โดยใช้การบอกผ่านด้วยวิธีการเขียน Content (คอนเทนต์) เพื่อบ่งบอกเกี่ยวกับตัวเรา สินค้า บริการ เรื่องราวต่างๆ ให้กับกลุ่มลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายได้รู้จักกับเรามากยิ่งขึ้น

การทำ Content นั้นก็เหมือนกับการที่เราต้องการเล่าสิ่งต่างๆ ประสบการณ์ ความรู้ การแนะนำสิ่งต่างๆ ให้กับกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าของเราได้รับข้อมูลนั้นไป และสำหรับคอนเทนต์หากแบ่งย่อยลงไปอีกก็จะมีอีกเยอะมากมายมหาศาลมากเช่นกัน เดียวไปอ่านกันต่อได้เลย

1.คอนเทนต์คืออะไร

คอนเทนต์คืออะไร

Content หรือ คอนเทนต์ คือ เนื้อหาที่เป็นการอธิบายเกี่ยวกับแบรนด์ ธุรกิจ ประสบการณ์ รายละเอียดสินค้าบริการ และบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ผ่านตัวอักษร วิดีโอ หรือรูปภาพ ทั้งนี้การทำคอนเทนต์ก็มีหลากหลายรูปแบบ และการทำคอนเทนต์ก็สามารถทำได้ผ่านทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์

การทำคอนเทนต์โดยทั่วไปส่วนมากคนคิดว่าจะเขียนกันเป็นตัวอักษร บอกเล่าสิ่งต่างๆ อธิบายเรื่องต่างๆ แบบยืดยาว แต่ก็ยังมีคอนเทนต์ประเภทภาพ วิดีโออีกด้วยเช่นกัน

กินอาหาร

คอนเทนต์วิดีโอจากช่อง Peach Eat Laek

จุ๊บปาจุ๊บ

คอนเทนต์ภาพนิ่ง ที่มาจาก : AdsForum

รวมสายบันเทิง

คอนเทนต์วิดีโอจากช่อง Fail Army

JBL

คอนเทนต์ภาพนิ่ง ที่มาจาก : adsotheworld

จากตัวอย่างเหล่านี้ก็นับเป็นคอนเทนต์ชนิดหนึ่งเช่นกัน ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องทำคอนเทนต์ให้เป็นตัวอักษรเพียงอย่างเดียวเสมอไป ก็เปรียบเสมือนกับการที่เราต้องการสื่อสารกับฝ่ายตรงข้าม แต่แค่เลือกวิธีการว่าจะทำอย่างไรให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจเรานั่นแหละ

2. ประเภทหลักๆ ของ Content (คอนเทนต์)

ประเภทคอนเทนต์

คอนเทนต์ส่วนใหญ่ที่เราเขียนกัน หากสังเกตให้ดีนั้นจะถูกจัดแบ่งเป็น 2 ประเภท คือคอนเทนต์ตามกระแส ที่จะอัพเดทกันในช่วงนั้นๆ หากพูดถึงทีหลังก็อาจจะไม่ได้รับความนิยม และคอนเทนต์แบบไม่มีวันหมดอายุ ไม่ว่าเวลาจะนานแค่ไหน คนก็ยังค้นหาคอนเทนต์นั้นอยู่ งั้นเรามาขยายความกันดีกว่าว่าแต่ละตัวเป็นอย่างไรบ้าง

2.1. Topical Content หรือคอนเทนต์ที่เป็นกระแส ณ ขณะนั้น

Topical Content

เกี่ยวข้องกับสิ่งใหม่ๆ ข่าวสารต่างๆ หรือเรื่องเกี่ยวกับพวกเทคโนโลยีล่าสุด เทรนด์ล่าสุด หรือสิ่งที่คนกำลังพูดถึงเป็นอย่างมากในช่วงขณะนั้น

ข้อดีของการทำคอนเทนต์แบบ Topical คือ

สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาในการทำไม่นานมากนัก เพราะแทบไม่ต้องหาข้อมูลใดๆ มาประกอบให้มากมาย เนื่องจากว่าจะเป็นคอนเทนต์ที่มีความซับซ้อนน้อย ต้องการความรวดเร็วมากกว่ารายละเอียดเป็นหลัก การทำ Topical Content จะได้ Traffic จากที่ต่างๆ เยอะขึ้น รวมถึงยังมีปริมาณผลิตเนื้อหาที่มากกว่าเนื่องจากว่าในวันๆ หนึ่งอาจจะมีเรื่องที่เป็นกระแสหลายเรื่องก็ได้

ข้อเสีย

“กระแสมีขึ้น ก็ย่อมมีลง” แน่นอนว่าอะไรที่เป็นกระแส เดียวแปบเดียวก็จะผ่านไป อย่างเช่นกระแสเรื่อง “แหวนและกำไลข้อมือที่เหมือนสาย Cable Tie ” ของแบรนด์หนึ่ง ซึ่งหลายคนกล่าวถึงกันไม่กี่วันกระแสก็หายไปแล้ว ดังนั้นยากพอสมควรที่คนจะกลับมาค้นหากระแสเก่าๆ เหล่านั้น

ตัวอย่างประเภทที่เอามาทำ Topical Content ได้

ข่าวใหม่

คอนเทนต์อัพเดทข่าวสาร Twitter Space

แฟชั่นแปลก

ตัวอย่างคอนเทนต์อัพเดทแฟชั่นแปลกๆ จาก Supreme

เทรนด์ทวิต

คอนเทนต์เทรนด์ฮิตแชร์ห้อง Clubhouse ที่น่าสนใจ ขอขอบพระคุณภาพจากแอคเคาท์ @ClubhouseTH

การทำ Topical Content อาจจะต้องดูบทบาทของเว็บไซต์หรือเพจของเราก่อนว่าเราวางตัวตนเป็นแบบไหน ถ้าหากเราเขียนบล็อกแนวข่าวสาร ก็อาจจะเน้นไปที่คอนเทนต์แบบกระแสเป็นหลัก มี Evergreen บ้างประปราย หรือถ้าหากคุณเป็นสายพวกธุรกิจจริงจัง การบริการหรือทำบล็อกท่องเที่ยว ก็อาจจะใช้ Evergreen เป็นหลักและมี Topical Content บ้างประปรายก็ได้

2.2. Content แบบ Evergreen หรือคอนเทนต์ที่ไม่มีวันหมดอายุ

Evergreen Content

“Evergreen Content คือ การเขียนคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีการค้นหาอยู่ตลอดเวลา” หรือเราจะนับว่าเป็นคอนเทนต์ที่มีความสดอยู่ตลอดเวลา มีความแตกต่างกับ News Content ที่จะเขียนให้เหมาะเป็นความสดในปัจจุบัน แต่พอนานวันเข้าก็จะไม่มีใครสนใจอีก

พอได้ยินคำว่า “เขียนคอนเทนต์ที่สดใหม่ตลอดเวลา” อาจจะฟังดูยาก แต่ความจริงไม่ได้ยากขนาดนั้น เราสามารถยกเรื่องใกล้ตัวมาเขียนได้อย่างมากมาย รวมถึงความรู้ทั่วๆ ไปก็สามารถแปลงให้มาเป็น Evergreen Content ได้ด้วยเช่นกัน

ข้อดีของ Evergreen Content

ด้วยความที่เป็นคอนเทนต์ไม่มีวันหมดอายุ และมีความสดใหม่ตลอดเวลา เหมาะเป็นอย่างมากสำหรับสายทำ SEO เพราะจะช่วยดึง Traffic ให้เข้าเว็บเราได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม และเป็นการทำคอนเทนต์ที่ยั่งยืนอย่างดียิ่งสำหรับกลุ่มสายเว็บไซต์ บล็อกต่างๆ ด้วยเช่นกัน

ข้อเสียของ Evergreen Content

การผลิต Everygreen Content แต่ละชิ้นใช้เวลาค่อนข้างนาน ต้องรวบรวมข้อมูลให้ถูกต้องและเรียบเรียงออกมาเป็นเนื้อหาที่มีความยาวมากกว่า Topical Content พอสมควร นอกจากนี้การทำช่วงแรกๆ อาจจะยังไม่สามารถเห็นผลเรียก Traffic คนเข้าใช้งานแพลตฟอร์มได้มากเท่ากับคอนเทนต์แบบกระแส

คอร์สเรียนแต่งรูปง่ายๆด้วยโทรศัพท์มือถือ แต่ได้รูปมือโปร เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ

ตัวอย่างการทำคอนเทนต์แบบ Evergreen

FBads2021

สอนทำ Facebook Ads ปี 2021 จากเว็บ Marketing In Secret

Shopee Blog

10 วิธีดูแลสุขภาพตนเอง บทความจาก Shopee Blog

บทความต้นไม้

 7 ต้นไม้ดูดสารพิษ บทความจาก Kapook.com

หากเรามุ่งมั่นที่จะทำคอนเทนต์แบบ Evergreen แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความอดทน เพราะมันจะไม่เห็นผลเลยทันที แต่ในระยะยาวนั้นสามารถช่วยให้เว็บหรือบล็อกของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคงแน่นอน

2.3. แล้วทำคอนเทนต์แบบไหนดีระหว่าง Topical Content Vs Evergreen Content

เขียน Content แบบไหน

หากต้องการทำ SEO ก็แนะนำว่าเลือกเป็น Evergreen Content จะดีกว่า เพราะจะเหมาะกับการทำ SEO ที่สุด เนื่องจากว่าเป็นคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คนค้นหาตลอดเวลา ไม่ว่าจะนานแค่ไหนคนก็ยังต้องการอ่านข้อมูล

แต่ถ้าต้องการ Traffic ก็เลือกเป็น Topical Content เพราะคนจะค้นหาอะไรที่เป็นกระแสในช่วงนั้นๆ ทำให้เราได้ Traffic ที่ดีมากยิ่งขึ้น

สำหรับแอดมองว่าทำควบคู่กันไปดีที่สุด แล้วเราก็เป็นคนกำหนดเองว่าบทบาทของเราเหมาะกับคอนเทนต์ประเภทไหน เราก็วางแผนจัดการว่าเราจะเน้นตัวไหนเป็นหลัก แล้วทำไปเรื่อยๆ

แน่นอนว่าหากเราผสมผสานใช้ทั้งคู่จะส่งผลดีต่อตัวเราทำให้เราเขียนคอนเทนต์ได้ตลอดแล้ว คนที่เข้ามาอ่านก็ยังรู้สึกว่าไม่น่าเบื่อที่จะต้องมีแต่ความรู้ด้วยเช่นกัน

3. ประเภทรูปแบบย่อยของคอนเทนต์

รูปแบบ Content

นอกจากจะมีกรอบหลักอย่าง 2 หัวข้อด้านบนแล้ว ยังมีย่อยๆ ลงมาอีกมากมาย แต่แอดจะขอเน้นที่คนมักนิยมใช้ให้เป็นหลัก เกรงว่าถ้ายกมาทั้งหมดแล้วจะยาวไปมากกว่านี้ และจะเบื่อกันแน่นอน งั้นเรามาเริ่มกันเลย

3.1. รูปแบบการนำเสนอของคอนเทนต์

รูปแบบการนำเสนอคอนเทนต์หลักๆ ที่ใช้กันอยู่ก็จะมี 4 แบบด้วยกันคือ

Content แบบ Entertain

คอนเทนต์ Entertain

เป็นคอนเทนต์ที่คนนิยมทำกันมากหลายๆ เพจ ไม่เพียงแม่แต่เพจขายของ แต่ก็ยังมีในระดับธุรกิจใหญ่ๆ ที่ก็ทำคอนเทนต์ประเภทนี้เหมือนกัน ตัวอย่างคอนเทนต์แบบเอ็นเตอร์เทน เช่น ทำคลิปแกล้งคน การเล่าเรื่องราวน่ารักของสัตว์เลี้ยง ภาพมีมประกอบเนื้อหา เป็นต้น

เขียน Content แบบ Convince

เขียนโน้มน้าว

การทำคอนเทนต์แบบโน้มน้าวใจ เป็นการทำโฆษณาหรือสื่อสารเนื้อหาให้ผู้ที่ได้อ่าน ได้เห็น เกิดความรู้สึกมีส่วนร่วมและคล้อยตามไปด้วย เช่น โฆษณาขายสินค้าจำพวกครีม สินค้าสายมูเตลูต่างๆ

เขียน Content แบบ Inspire

แรงบันดาลใจ

เห็นได้แทบจะทุกเพจเลยก็ว่าได้สำหรับคอนเทนต์สร้างแรงบันดาลใจ สำหรับคอนเทนต์แบบนี้ก็ถือว่าดีไม่น้อยเพราะว่าได้ส่วนร่วมค่อนข้างมาก เพราะทำให้ผู้อ่านได้แง่คิดดีๆ เพื่อนำไปปรับใช้กับตนเอง และรู้สึกมีแรงผลักดันในการทำสิ่งต่างๆ มากขึ้นนั่นเอง

ทำ Content แบบ Educate

ให้ความรู้

เป็นคอนเทนต์ที่ให้ความรู้เป็นหลักทั้งหมด อย่างคอนเทนต์ของเว็บ Marketing In Secret เองก็เน้นเป็น Hub ที่จะรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับตลาดออนไลน์ให้ผู้คนได้อ่านกันแบบฟรีๆ และนำไปประยุกต์ใช้ คอนเทนต์แบบนี้ใครๆ ก็สามารถทำได้ แต่ต้องใช้เวลารวบรวมพอสมควร และยังเป็นการมอบสิ่งดีๆ ให้กับผู้อ่านของเราได้อีกด้วย

การเขียน Content แบบ Sale

Content ขาย

เขียนคอนเทนต์แบบขาย เห็นได้มากที่สุดสำหรับคอนเทนต์ประเภทนี้ โดยเฉพาะกับกลุ่มขายของออนไลน์ ที่มุ่งเน้นด้านยอดขาย ไม่ได้มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมหรือความจงรักภักดีมากนัก

การขายก็มีแบ่งอีก 2 แบบ (ขอสรุปสั้นๆ ดูแล้วชักจะยาวไปเดี่ยวเบื่อกันก่อน)

การขายแบบ Emotional หรือขายแบบเน้นอารมณ์ (ไม่ใช่หงุดหงิดนะ) เป็นการกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ในการซื้อสินค้าเป็นหลัก ตัวอย่างง่ายๆ เช่น สินค้า A ลดราคา 90% ต่ำสุดในรอบ 2 ปี ระยะเวลาโปรแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น บางคนได้อ่านปุ๊บก็รีบซื้อปั้บ เพราะกลัวว่าจะไม่ทัน บางคนก็ซื้อโดยที่ไม่รู้จะเอามาทำอะไรด้วยซ้ำ

โดยส่วนมากจะเห็นคอนเทนต์ลักษณะนี้ในช่องทาง Marketplace เป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับในแอดโฆษณา Facebook หรือเว็บไซต์ ก็ยังพอพบเจอได้บ้าง ที่แอดเจอส่วนมากจะเป็นพวกอาหารหรือของใช้ในชีวิตประจำวันมากกว่า

Emotional

สินค้าบางตัวที่ลง Flash Sale ของ Shopee ก็จัดเป็น Emotional ได้เหมือนกัน ซึ่งในนั้นจะมีผสมผสานทั้ง Emotional และ Functional

การขายแบบ Functional เน้นการใช้งานเป็นหลัก เหมาะสำหรับสินค้าที่มีราคาแพง เพราะคนมักจะไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าสูง แต่จะเน้นการใช้งานมากกว่า เช่น เครื่องฟอกอากาศ รถยนต์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ฯลฯ

Functional

Content ส่วนใหญ่ของ Apple ก็เป็นแบบ Functional เพราะลูกค้าต้องการรายละเอียดเพื่อตัดสินใจซื้อ

3.2. ประเภทสื่อนำเสนอคอนเทนต์

นอกจากเรื่องที่จะนำเสนอแล้ว โดยปกติก็มักจะมีสิ่งต่างๆ ที่ใช้ประกอบการเขียนคอนเทนต์ของเราหรือไม่ก็ใช้สื่อต่างๆ ในการเล่าเรื่องแทนเนื้อหาที่จะเขียนได้ โดยหลักๆ ที่นิยมใช้จะมีเหมือนกับตัวอย่างในรูปเลย.

การนำเสนอ

4. เขียน Content แบบไหนดี? 

เขียนอะไรดี

เริ่มต้นก่อนการจะเขียนคอนเทนต์นั้นให้เราดูบทบาทของเพจเราก่อนว่าวางไว้อย่างไร กลุ่มเป้าหมายของเราเป็นใคร แล้วลองคิดดูว่าบทบาทเราเป็นแบบนี้ ควรเขียนคอนเทนต์แบบไหนดีให้กลุ่มเป้าหมายหรือลูกเพจของเราอ่านแล้วรู้สึกใช่ และรู้สึกว่าการติดตามเราไม่ผิด เนื้อหาไม่ออกทะเล

ยกตัวอย่างเช่น

เราทำเพจเกี่ยวกับสอนออกกำลังกาย กลุ่มเป้าหมายเราแน่นอนคือกลุ่มคนที่รักสุขภาพ ชื่นชอบการออกกำลังกาย หรือกำลังมองหาวิธีที่ช่วยสร้างหุ่นในอุดมคติของตัวเอง แนวการทำคอนเทนต์ของเราก็ควรเป็นแบบ “วิธีการทานอาหารให้เหมาะสมกับการออกกำลังกาย ออกกำลังกายท่าไหนดี” ฯลฯ

แต่ถ้าเราทำเพจเกี่ยวกับสอนออกกำลังกาย แต่ดันเขียนคอนเทนต์แบบ “6 สถานที่ท่องเที่ยว หรือการเลี้ยงดูลูกที่ถูกต้อง” แบบนี้มันก็จะดูผิดบทบาทเพจไม่เข้ากันไปหน่อย อาจพาลไปถึงลูกเพจของเราจะเลิกติดตามก็ได้ เพราะเค้าติดตามเราไม่ใช่ต้องการคอนเทนต์แบบนี้ แต่ต้องการคอนเทนต์ออกกำลังกายต่างหาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะลงไม่ได้เลยนะ

ส่วนถ้ามองไปถึงเรื่องของการเขียนคอนเทนต์แบบ Topical หรือ Evergreen ดี ส่วนตัวแอดมองว่า Social Media อาจจะเหมาะกับ Topical มากกว่า ส่วนเว็บไซต์หรือ Blog นั้นจะเหมาะกับ Evergreen เพื่อทำ SEO แต่ทั้งนี้ก็ใช้ผสมผสานกันได้ทั้งในโซเชียลหรือเว็บเอง ไม่มีผิดไม่มีถูก แล้วแต่มุมมองของแต่ละบุคคล และการประยุกต์ใช้

เพจเกม

คอนเทนต์ของเพจเกมที่ถูกกับบทบาทเพจ

สูตรอาหาร

เพจเกมโพสต์สูตรอาหาร ดูแปลกๆ จากบทบาทเพจไปหน่อย

5. หาไอเดียการเขียน Content ไม่ให้ตัน

หาไอเดีย

การทำคอนเทนต์พอเริ่มทำไปสักพัก ก็จะเริ่มตันแน่ๆ แล้วคนอื่นที่ทำคอนเทนต์เหมือนกับเราเค้าเอาไอเดียมาจากไหนกัน อันนี้เดียวแอดแนะนำทริคส่วนตัวให้และอาจจะไปประยุกต์ใช้กันดู

1. หาอ่านกระทู้พันทิป

พันทิปเป็นแหล่งรวมความรู้ต่างๆ นาๆ ชั้นเยี่ยมจากกูรูท่านต่างๆ มากมาย (บางครั้งอาจจะเจอกระทู้แปลกๆ) ซึ่งจากกระทู้เหล่านั้นแน่นอนว่าต้องมีสักหัวข้อที่สามารถช่วยจุดประกายไอเดียให้คุณได้

2. Pinterest

บางคนมองว่า Pinterest คือเว็บที่ทำเกี่ยวกับรูปภาพ นั่นก็ถูกแต่จะเป็นรูปภาพในลักษณะของการสร้างแรงบันดาลใจมากกว่า เราสามารถเอาไอเดียจากรูปภาพเหล่านั้นมาประยุกต์เป็นคอนเทนต์ของเราได้ เช่น เจอรูปกราฟิตี้ เราก็พอนึกหัวข้อที่จะเขียนได้แล้วเช่น ต้นกำเนิด Graffiti มาจากไหน หรือ Graffiti คืออะไร เป็นต้น

3. YouTube

ใน YouTube ก็มีช่องต่างๆ ให้เราเลือกดูอย่างมากมายตั้งแต่วิดีโอบันเทิงไปจนถึงความรู้แบบจริงจังเลยก็มี เราก็เลือกดูได้เลยหากเรากำลังหาไอเดียเรื่องอะไรก็ลอง Search ใน YouTube ดูเป็นแนวทางได้

4. Podcast

ช่วงนี้อยู่ในยุคเติบโตของ Podcast เลยจริงๆ หากกำลังหาไอเดียแต่ไม่ว่างที่จะนั่งดูหรือทำนุ่นทำนี่อยู่ เราก็สามารถเปิดฟัง Podcast ได้ทั้งบนรถ ตอนกินข้าว หรือตอนอาบน้ำก็ยังทำได้ !!! บนนั้นก็มีหลากหลายเรื่องราวสนุกๆ ไว้เป็นข้อมูลทำคอนเทนต์ได้เหมือนกัน

5. การสงสัยทำให้เกิดคำถามและคอนเทนต์

บางทีการที่เราสงสัยก็ทำให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ นอกจากนี้เมื่อเราได้เรียนรู้แล้วเราก็สามารถแบ่งปันกับผู้อื่นได้เช่นกัน อย่างเช่นใน YouTube ช่อง BossKerati ที่เป็นช่องเกี่ยวกับความบันเทิง โดยทำวิดีโอคอนเทนต์แบบสงสัยอะไรก็หาคำตอบเลย จนได้คลิปสนุกๆ มากมายเต็มช่องไปหมด

6. ไม่รู้จะเขียนอะไรก็ถามลูกเพจหรือกลุ่มเป้าหมายซะเลย

เขียนไปหมดทุกอย่างจนไม่รู้จะเขียนอะไรแล้ว ก็ถามผู้อ่านเลยว่าอยากจะอ่านเรื่องอะไรเป็นพิเศษ แล้วอันไหนน่าสนใจเราก็หาข้อมูลมาเขียนให้กับกลุ่มเป้าหมายหรือแฟนเพจของเราได้เลย ง่ายมักๆ !!

พันทิป Podcast Youtube Pinterest

6. Social Media ควรเขียน Content เหมือนหรือต่างกัน

คอนเทนต์ Social

สำหรับช่องทางอย่างโซเชียลมีเดียหลักๆ ในไทยที่จะใช้กันก็จะมีอยู่ประมาณ 6 – 7 ตัวในบ้านเรา แต่ละช่องทางนั้นพฤติกรรมของผู้ใช้งานก็แตกต่างกันไปอีก ดังนั้นแล้วในเรื่องของคอนเทนต์อาจจะต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับแพลตฟอร์มที่เราจะสื่อสารด้วยเช่นกัน

คอนเทนต์ฝั่ง Social

สรุป

คอนเทนต์ คือ สิ่งที่เราต้องการสื่อสารกับลูกค้า กลุ่มเป้าหมาย ด้วยการส่งมอบประสบการณ์หรือเรื่องราวต่างๆ ด้วยการเขียนบทความ วิดีโอ รูปภาพ ไปยังกลุ่มคนนั้นๆ และยังสามารถแบ่งคอนเทนต์ได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ สำหรับใครที่อ่านบทความนี้หวังว่าจะได้มีความเข้าใจกับเนื้อหาที่จัดเต็มมากๆ และแน่นสุดๆ ยังไงการทำคอนเทนต์ก็คงอยู่กับเราไปตลอด แต่เราก็จำเป็นต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับช่วงยุคสมัยนั้นๆ ด้วยเช่นกัน มิฉะนั้นหากเราไม่ปรับตัวเราก็ไม่อาจยืนอยู่ในใจของลูกค้าเราได้แน่นอน


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
ห้ามทำ !! ปั้มไลค์ Facebook ส่งผลร้ายมากกว่าที่คิด

ห้ามทำ !! ปั้มไลค์ Facebook ส่งผลร้ายมากกว่าที่คิด

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

Facebook จัดเป็นแหล่งชุมชนออนไลน์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน ซึ่งมีผู้ใช้งานมากกว่า 2,700 ล้านคนจากทั่วโลก และมีเพจต่างๆ เกิดขึ้นมามากมาย

ไม่ว่าจะเป็นเพจสำหรับขายของ เพจเล่าเรื่องราว เพจทำอาหาร เพจรีวิว และเพจรูปแบบต่างๆ อีกมากมาย สำหรับคนเริ่มใหม่ที่ยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับเพจ ก็มักจะเร่งรีบหาคนกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามเพจ สุดท้ายพอหาแบบออแกนิคไม่รอดก็ต้องไปพึ่งระบบ “ปั้มไลค์ Facebook”

ทำไมถึงห้ามปั้มไลค์ Facebook

ทำไมต้องปั้มไลค์

ไม่เพียงแค่ Facebook ที่ไม่อยากให้ปั้มไลค์เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มไหน Instagram Twitter TikTok ก็ไม่ควรทำทั้งนั้น ข้อดีของการปั้มไลค์ก็คือเราได้เพียงแค่ความสบายใจ ความรู้สึกดีที่มีผู้ติดตามเยอะ แต่ผลเสียที่มีนั้นมันร้ายกว่าที่คุณคิดอีกมาก โดยเฉพาะคนที่ทำเพจขายของ หรือเพจต่างๆ  ข้อเสียหลักๆ ก็จะมี

1. ได้แฟนเพจที่ไม่มีคุณภาพ

แฟนเพจ FB

ลองนึกดูเมื่อเราซื้อไลค์จาก Facebook มาแล้ว ทีนี้ก็มีการกดไลค์เพจให้จริงๆ แต่ต้องคิดถึงจุดหนึ่งด้วยว่าสิ่งที่มากดไลค์ให้เรานั้นอาจจะเป็นบอท หรือเป็นคนจริงๆ ที่มีหลายบัญชีนี่แหละมากดให้ เมื่อเสร็จงานแล้วเราลองโพสต์คอนเทนตสักตัวลงเพจดูปรากฏว่ายอดการมองเห็น การมีส่วนร่วมกับโพสต์หรือการกดไลค์แทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลยถึงแม้จะมีผู้ติดตามเป็น 1,000 เลยก็ตาม

เนื่องจากว่ากลุ่มเหล่านี้เป็นแค่บอทหรือบัญชีที่มีคนใช้งานเพียงคนเดียวให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เหมือนคน 1 คนต้องล็อกอิน 1,000 บัญชีเพื่อไปดูโพสต์ของคุณให้มันได้ยอดมองเห็น ยอดวิวเยอะๆ ตามที่คุณหวัง แต่มันเป็นไปไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ

แถมไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่มีคุณภาพอีก ยิ่งปั้มไลค์ Facebook ยิ่งแย่ โพสต์อะไรไปถึงคนติดตามหลายพันหลายหมื่น แต่ไม่ได้มาจากคนที่ชื่นชอบเพจเราจริงๆ ก็เหมือนกับเราเอาเงินไปละลายเล่นนั่นแหละ

แต่ถ้าคุณอยากปั้มไลค์จริงๆ เอาแบบมีคุณภาพ ลองอ่านบทความ 8 วิธีปั้มไลค์ Facebook แบบฟรีๆ

2. ทำโฆษณา Facebook Ads ได้ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย

กลุ่มเป้าหมาย

เพราะการที่ใครก็ไม่รู้ที่เราไปปั้มไลค์ Facebook มา ทำให้ได้กลุ่มลูกค้าที่เละเทะ แถมไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของเรา ตัวระบบโฆษณาของ Facebook ฉลาดพอสมควร โดยจะกรองผู้ที่มีความสนใจคล้ายกันกับผู้ที่กดไลค์หรือมีส่วนร่วมใดๆ กับเพจของคุณและส่งกลุ่มเป้าหมายนั้นมาให้

และยิ่งมองไปในระยะยาว เรื่องการทำ Lookalike การ Custom Audience จะยิ่งพังหนักกว่าเดิม เพราะเราจะไม่เจอกลุ่มเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพหรือพร้อมซื้อสินค้ากับเราเลย

ถ้าคุณอยากหากลุ่มเป้าหมายจริงๆ ล่ะก็ วาปไปที่ลิงค์นี้ได้เลย เราเขียนวิธีหากลุ่มเป้าหมายไว้ให้หมดแล้ว

วิธีการหากลุ่มเป้าหมาย Facebook แบบง่ายๆ ให้ได้กลุ่มที่มีคุณภาพมากที่สุด

3. เสี่ยงต่อการโดนแบน

โดนปิดบัญชี

เนื่องจาก Facebook มีกฎที่เข้มงวดมากเกี่ยวกับการปั้มไลค์ Facebook หากพบเจอถึงขั้นถูกแบน และถึงแม้จะสมัครใหม่ได้เรื่อยๆ ในปี 2021 นี้ระบบ AI ของ Facebook ก็ฉลาดมากพอที่จะจดจำว่าคนที่กำลังสมัครอยู่นั้นเป็นคุณ ดังนั้นแล้วการปั้มไลค์ Facebook ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงไปเลย

คอร์สเรียนยิงโฆษณา Facebook พร้อมของแถมเฉพาะนักเรียนและเทคนิคพิเศษมากมาย

4. การปั้มไลค์ Facebook ก็เหมือนเอาเงินไปทิ้ง

ใช้เงินทิ้งขว้าง

เพราะการปั้มไลค์ก็เหมือนเป็นการเอาบอทหรือใครก็ไม่รู้มานั่งทำให้เรา จนเพจเราด้อยประสิทธิภาพ แถมเดียวนี้โลกโซเชียลยิ่งไว เห็นอะไรผิดปกตินิดหน่อยก็จับโป๊ะกันได้แล้ว อีกอย่างคือในปี 2021 นี้เองตัว AI Facebook ก็ค่อนข้างเข้มงวดถึงขั้นมากที่สุดกันเลยทีเดียว ดังนั้นอย่าเอาเงินที่มีค่าไปทิ้งเล่นเลย

5. นอกเหนือจากปั้มไลค์ Facebook ก็ยังมีกฎอื่นๆ อีกด้วย

กฎ Facebook

Facebook ไม่ได้ห้ามเพียงแค่ปั้มไลค์ Facebook อย่างเดียว แต่ยังมีข้อห้ามอื่นๆ อาทิเช่น การใช้รูปภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์อื่นๆ โดย Facebook จะมี AI ที่คอยตรวจจับการโพสต์รูปภาพหรือข้อความอยู่

สังเกตได้ว่าเราโพสต์สินค้าต่างๆ ที่เป็นแบรด์ โดยเฉพาะแบรนด์ดังๆ นี่จะโดน Facebook ปิดกั้น โดนไม่ให้ยิงแอดบ้าง โดยปิดบัญชีบ้างแหละ เยอะแยะไปหมด ดังนั้นใครที่ขายของก็ควรรู้กฎของ Facebook ไว้บ้าง เผื่อเดียวเราไปละเมิดเข้าแล้วทีนี้ยาวเลยฃ

อ่านกฎต่างๆ เพิ่มเติมที่ : https://th-th.facebook.com/legal/terms

สรุป

การปั้มไลค์ Facebook มีผลดีที่น้อยกว่าผลเสียค่อนข้างมาก สำหรับคนที่ขายของหรือคนทำเพจเกี่ยวกับ Facebook จริงๆ จังๆ ทุกท่านก็คงแนะนำเป็นเสียงเดียวกันว่า “ปั้มไลค์ Facebook” เป็นอะไรที่ไม่มีประโยชน์ แถมยังมีแต่ข้อเสีย และในต้นปี 2021 ที่ผ่านมานั้น Facebook ก็ได้ประกาศแล้วว่าจะเอาปุ่มไลค์ออกจากเพจกลายเป็นปุ่ม Follow แทน ทำให้ปุ่มไลค์แทบจะถูกลดความสำคัญลงไปเลย

อีกอย่างเราอย่ายึดติดกับ “ยอดไลค์” มากนัก เพราะมันไม่ได้เป็นตัวเลขที่บ่งบอกว่าดีหรือยอดเยอะเสมอไป บางคนที่ยิงแอดเก่งๆ คนกดไลค์เพจไม่ถึง 1,000 แต่ยอดขายได้มากกว่าคนกดไลค์เพจหลักหมื่นเสียอีก เพราะฉะนั้นเราต้องโฟกัสและตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่า “ระหว่างกดไลค์กับยอดขาย” อันไหนสำคัญสำหรับคุณมากกว่ากัน?

จริงๆ ก็มีวิธีปั้มไลค์แบบไม่โดนแบนอยู่ ถ้าอยากรู้วิธีก็กดไปอ่านเลย : 8 วิธีปั้นเพจ Facebook ให้ปังไม่หยุดฉุดไม่อยู่


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
8 วิธีปั้นเพจ Facebook ให้โตระเบิดแบบฟรีๆ

8 วิธีปั้นเพจ Facebook ให้โตระเบิดแบบฟรีๆ

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

เพจ Facebook ของเราการที่มียอดคนมองเห็น ยอดการมีส่วนร่วม ยอดขาย หรือแม้กระทั่งยอดไลค์ ย่อมเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะให้เกิดกับตัวคุณเองเหมือนกัน จริงๆ นายเองก็เป็นพี สะเดิดได้นะ (ไม่เกี่ยวสักนิด)

การที่จะปั้นให้ได้ขนาดนี้หลายคนคงคิดว่ามันยาก มันทำไม่ได้แน่ๆ แต่ของพวกนี้ถ้าเราไม่ฝึกฝน เราก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะสำเร็จหรือไม่ ดังนั้นหากใครคิดว่าคงไม่ไหว ก็อาจจะข้ามบทความอันแสนยืดยาวตัวนี้ไปก่อนก็ได้

การที่เรามีเป้าหมายต้องการยอดขาย หรือต้องการให้เป็นที่รู้จักกับคนอื่น เราก็จำเป็นจะต้องแนะนำตัวเองให้คนอื่นรู้จักก่อน โดยใน Social Media อาจจะใช้วิธีเขียนคอนเทนต์สื่อสาร

เพื่อบ่งบอกตัวตน หรือเขียนเรื่องราว บทความ ใช้รูปภาพสื่อสาร เพื่อค่อยๆ ทำให้คนรู้จักเราและจะได้เปลี่ยนจากคนที่ไม่คุ้นเคยคนแปลกหน้า มาเป็นลูกค้าของเราหรือผู้ติดตามของเราได้ในที่สุด

1. เนื้อหาที่ใช่ ใครก็แชร์

เขียนคอนเทนต์

การทำคอนเทนต์จะช่วยดึง Traffic และสิ่งอื่นๆ เข้าเพจ Facebook ของเราได้มากขึ้น โดยเฉพาะกับพฤติกรรมผู้คนในปัจจุบันไม่ชอบอะไรที่มันยืดยาวหากไม่ได้สนใจจริงๆ หรืออาจจะต้องทำคอนเทนต์ให้เหมาะสมกับช่วงเวลานั้นๆ หรือสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของเรา รวมถึงการทำ Header คอนเทนต์ให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น

  • 7 วิธีตกแต่งบ้านให้สวยด้วยงบ 100 บาท
  • 5 วิธีสร้างนิสัยรวย เปลี่ยนทีละนิด ชีวิตดีขึ้นแน่นอน
  • 10 วิธีเช็คความเครียดที่อาจเกิดขึ้นโดยคุณไม่รู้ตัว
  • ห้ามทำ 5 อย่างต่อไปนี้ถ้าไม่อยากให้โฆษณาพัง !!
  • ถ้าไม่ทำตาม 7 สิ่งนี้ คุณกำลังผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง

และสำหรับคอนเทนต์ก็ยังแบ่งเป็นอีก 2 ประเภทคือ Tropical Content และ Evergreen Content ที่จะมีสไตล์รูปแบบการเขียนที่แตกต่างกันอีกทั้งยังมีหน้าที่ที่แตกต่างกันด้วยขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้นๆ ว่าเราควรที่จะใช้คอนเทนต์ตัวไหนถึงจะเหมาะสมมากที่สุด ไว้แอดจะมาเขียนอธิบายเป็นกระทู้เฉพาะไว้ให้เกี่ยวกับการทำคอนเทนต์ทั้ง 2 แบบ

เพจ wongnai

ตัวอย่างคอนเทนต์จากเพจ Wongnai

เพจ Sale Here

ตัวอย่างคอนเทนต์จากเพจ Sale Here

2. นำเสนอหลากหลายรูปแบบ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและดึงดูดลูกค้า

แก้ปัญหา

การที่เรามีอะไรนำเสนอกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าหลากหลายแบบ นอกจากไม่สร้างความน่าเบื่อแล้ว ยังสร้างความน่าสนใจให้กับคอนเทนต์นั้นๆ ได้อีกด้วย เราสามารถสร้างสรรค์ได้หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นนำเสนอด้วยวิดีโอ การใส่ไอเดียให้ภาพนิ่งดูน่าสนใจ หรือการทำเป็นภาพสไลด์ให้ดูมีลูกเล่นเพิ่มมากขึ้นก็ได้

โพสต์อัลบั้ม

ตัวอย่างโพสต์อัลบั้มจากเพจ Marketing In Secret

โพสต์รูปเดี่ยว

ตัวอย่างโพสต์รูปเดี่ยวจากเพจ Marketing In Secret

โพสต์วิดีโอ

ตัวอย่างโพสต์วิดีโอจากเพจ InterestPRO

3. ช่วยแก้ปัญหาของลูกค้า เราตอบโจทย์ตรงนี้ได้ โอกาสการซื้อย่อมมีแน่นอน

แก้ปัญหา

ลูกค้าทุกคนย่อมมีปัญหาต่าง ๆ มากมาย หากเรามีสินค้าหรือมีวิธีการแก้ปัญหาเหล่านั้นให้กับลูกค้าได้ นั่นหมายความว่าคุณมีโอกาสในการขายเกิดขึ้นชัวร์ ๆ เช่น เราทำร้านเกี่ยวกับอุปกรณ์ป้องกันภัยและกันขโมยในบ้าน เราก็อาจจะนำเสนอเชิงข้อดีของการมีอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยติดไว้ที่บ้าน ไม่ใช่เฉพาะสินค้าอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย แต่กับสินค้าหรือบริการทุกอย่างก็ควรที่จะมีจุดเด่นที่ช่วยแก้ไขปัญหาของลูกค้าได้ หากคุณสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ นอกจากจะได้ฐานลูกค้าใหม่ๆ แล้วยังได้ยอดขายเพิ่มเติมอีกด้วย

4. กลุ่มเป้าหมายที่ใช่ หาให้เจอ

หากลุ่มเป้าหมาย

ก่อนที่เราจะทำคอนเทนต์ทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการใดๆ ก็ตาม เราต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของเราก่อนว่าเป็นใคร ชอบอะไร เพื่อที่เราจะได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ หรือผลิตคอนเทนต์ได้ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมาย

ปัจจุบันการทำตลาดแบบ “ผลัก” แทบจะไม่ได้ผล เนื่องจากว่าผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป และจะเลือกสิ่งที่สนใจเท่านั้น ด้วยความที่ปัจจุบันมีคอนเทนต์เป็นร้อยเป็นพันให้เลือกอ่าน ไม่เหมือนสมัยก่อนที่จะดูจากเพียงแค่ทีวี หนังสือพิมพ์ หรือตามบิลบอร์ดต่างๆ

แต่ตอนนี้ถูกเข้ามาด้วยโลกออนไลน์ทำให้เราควรที่จะสื่อสารในสิ่งที่ผู้บริโภคอยากรู้เป็นส่วนใหญ่จะดีที่สุด

เมื่อข้างต้นพูดว่าการตลาดแบบ “ผลัก” แทบจะไม่ได้ผล อันนี้คือเรื่องจริง เราควรที่จะนำการตลาดแบบทั้งดึงและผลักเข้ามาใช้ร่วมกัน นำมาสนับสนุนในรูปแบบเฉพาะเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์แบบมากที่สุด

หากลุ่มเป้าหมายบน Facebook ได้ง่ายๆ ตามไปอ่านคอนเทนต์นี้ได้เลย : วิธีหากลุ่มเป้าหมายเบื้องต้น สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้เลย

กรอบรูปสินค้า Manyframe กรอบรูปสินค้าออนไลน์ไม่ต้องจ้างกราฟิก ทำได้ผ่านทั้ง Canva Photoshop และแอพในมือถือ ตกเพียงกรอบละ 0.8 บาทเท่านั้น

5. ปั้น Branding ให้เกิดเป็นภาพจำกับลูกค้า

Branding

การทำ Branding ก็เหมือนกับการสร้างเอกลักษณ์ให้กับตนเอง เพื่อให้คนง่ายต่อการจดจำ และยังทำให้ง่ายต่อการทำตลาดอีกด้วย ข้อดีของการทำ Branding คือ เหมือนกับการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีๆ ให้เกิดขึ้นในใจของลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย ทำให้มีความเชื่อมั่น และเกิดการบอกต่อได้สำหรับกลุ่มคนที่จงรักภักดีในแบรนด์

นอกจากนี้การสร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่จดจำของลูกค้าแล้วนั้น หากเรามี Personal Branding ด้วยก็จะทำให้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก เพราะจะช่วยให้คนยิ่งจดจำการกระทำ หรือสไตล์ของเราได้ง่ายมากขึ้น

ตัวอย่าง Personal Branding ที่เห็นได้ชัดๆ ก็จะเป็น “หมอแล็บแพนด้า” ที่จัดเต็มเรื่องสาระทางการแพทย์ต่างๆ เล่าเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องสนุก และที่ทุกคนต้องจำได้คือ “ขอบตาดำ” ซึ่งจะเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของหมอเลยก็ได้ พอเราเห็นขอบตาดำปุ๊บ ต้องนึกถึงหมอแล็บปั้บ อะไรประมาณนั้น เป็นการทำเพจ Facebook ได้สนุก และมีสาระความฮามากๆ

เอกลักษณ์

หมอที่เป็นเอกลักษณ์มากที่สุด “หมอแล็บแพนด้า”

6. การ LIVE ในเพจ Facebook ก็ช่วยได้ไม่น้อย

การไลฟ์สด

ในปี 2021 การไลฟ์สดมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมและการมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการขายของ บางคนโพสต์ปกติ ใส่วิดีโอแล้วลงเพจธรรมดาไว้ขายสินค้าไม่ได้ แต่เมื่อไลฟ์สดก็ขายได้มากกว่าปกติ เนื่องจากว่าการซื้อของออนไลน์ด้วยภาพนิ่ง

บางครั้งอาจจะไม่ตรงปกเท่าไหร่ เนื่องจากว่าสามารถดัดแปลงตกแต่งได้ แต่ถ้าการไลฟ์สดจะช่วยสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งทำให้ลูกค้าได้รู้สึกว่าเหมือนเค้าเห็นสินค้าจริงๆ แถมยังสร้างการมีส่วนร่วมและเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้า การที่เราไลฟ์สดลูกค้าจะสามารถโต้ตอบกับเราได้ทันทีทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งตรงนี้ก็มีส่วนช่วยสร้างความสัมพันธ์ได้ด้วยเช่นกัน

อย่างเพจพิมรี่พายขายทุกอย่าง เมื่อเปิดไลฟ์ 1 ครั้งมียอดวิวไม่ต่ำกว่าแสน สามารถดูได้จากวิดีโอย้อนหลังต่างๆ เลย ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับการไลฟ์ในแต่ละครั้ง

7. จัดกิจกรรมทางการตลาด

กิจกรรมการตลาด

การจัดกิจกรรมทางการตลาด ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยดึง Traffic เข้าเพจได้เยอะพอสมควร โดยเฉพาะกิจกรรมแจกของรางวัล แต่ทั้งนี้การจัดกิจกรรมดังกล่าว แบรนด์ก็ควรที่จะได้ประโยชน์จากการจัดกิจกรรมด้วย ตัวอย่างการจัดกิจกรรมทางการตลาดให้ได้ประโยชน์ เช่น เราทำเพจหรือแบรนด์เกี่ยวกับผ้าปูที่นอน อาจจะตั้งคำถามประมาณว่า

“คุณชอบผ้าปูสีอะไรมากที่สุดหริอชอบผ้าปูที่นอนลายแบบไหน” ให้แชร์ไปหน้าไทม์ไลน์ส่วนตัวเปิดเป็นสาธารณะ พร้อมบอกเหตุผลว่าทำไมถึงชอบ ใครตอบได้โดนใจกรรมการมากที่สุดจะได้รับเซตผ้าปูที่นอน 1 ชุด จำนวน 3 รางวัล เป็นต้น

การจัดกิจกรรมแบบนี้สิ่งที่คุณจะได้รับคือการมีส่วนร่วมกับโพสต์และได้ Traffic จากผู้ที่แชร์ลงหน้า Facebook ของตัวเอง นอกจากนี้ยังทำให้คุณทราบได้ว่าคนส่วนใหญ่นั้นชอบผ้าปูสีอะไร ลายแบบไหนเท่านี้ก็สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์และทำสินค้าขายต่อได้ในอนาคตอีกด้วย

ตัวอย่างกิจกรรมเจ๋งๆ

Amazon Introducing : Build It

ที่ทาง Amazon เปิดให้โหวตผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 3 แบบ หากแบบใดได้ผลตอบรับตามที่ต้องการ ก็จะต้องสั่งจองล่วงหน้า 30 วัน และผู้ที่ได้ร่วมโหวตก็จะได้รับการซื้อสินค้าชิ้นนั้นๆ ในราคาพิเศษอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม : Introducing Build It

8. การให้คือสิ่งที่ดีที่สุด

Inbound

การทำธุรกิจไม่จำเป็นว่าเราต้องขายของเสมอไป การให้ในที่นี้หมายถึง การให้ทดลองใช้บริการ ทดลองสินค้า หรือการให้ความรู้ ความเข้าใจในตัวสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับเรา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและให้เราดูเป็นผู้เชี่ยวชาญ

ซึ่งทุกวันนี้พฤติกรรมลูกค้าไม่ได้ต้องการข้อมูลการขายอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน หากมีความสนใจพวกเขาเหล่านี้มักจะหาข้อมูลเสมอเพื่อตัดสินใจ เมื่อเราให้ข้อมูลกับคนกลุ่มนี้ เค้าก็มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าหรือบริการกับเรา เนื่องจากมองว่าดูเป็นผู้เชี่ยวชาญและสามารถช่วยเหลือลูกค้าเพื่อแก้ไขปัญหาได้

สรุป

การปั้นเพจให้โตระเบิดนั้นทำได้ไม่ยาก แต่อาจจะต้องฝึกฝนใช้เวลาพอสมควร เมื่อเราทำได้ในระดับนึงแล้ว กลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมายของคุณก็จะเข้ามาเอง โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินทำโฆษณาตั้งแต่ตอนแรก

แต่เมื่อเราเรียก Traffic เข้าเว็บได้ในระดับหนึ่งแล้ว เมื่อมีลูกค้าเข้ามาบางธุรกิจอาจจะเริ่มอัดงบโฆษณาตั้งแต่ตอนนี้ ทำให้เพิ่มยอดขายมากยิ่งขึ้น และประหยัดค่าโฆษณาลงได้อีกพอสมควร เพราะเราไม่ได้เริ่มทำโฆษณาตั้งแต่ตอนแรก จึงทำให้ค่าใช้จ่ายส่วนนั้นลดลง

การเรียก Traffic ก็พยายามอย่าทำแต่เพียง Push ข้อมูลหรือขายเพียงอย่างเดียว ควรทำคอนเทนต์หรือนำเสนอแบบ Pull เพื่อดึงลูกค้าและใช้วิธีผสมผสานระหว่าง Push กับ Pull จะช่วยให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพได้มากที่สุด


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
วัตถุประสงค์โฆษณา Facebook Ads แค่เข้าใจ ก็สร้างรายได้หลักล้าน

วัตถุประสงค์โฆษณา Facebook Ads แค่เข้าใจ ก็สร้างรายได้หลักล้าน

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

วัตถุประสงค์โฆษณา Facebook Ads มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับการทำโฆษณา เพราะถึงแม้ว่ากลุ่มเป้าหมายเราจะดีขนาดไหน แต่เราเลือกวัตถุประสงค์ไม่ถูก ก็มีสิทธิ์ที่จะไม่เวิร์คก็เป็นได้

ต้องบอกว่า Facebook ถือว่าเป็นสื่อโซเชียลมีเดียที่มีการเก็บข้อมูลของผู้คนไว้อย่างมากมายที่สุดในโลกอีกเจ้าหนึ่ง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้นี่เองที่เราจะใช้สำหรับทำโฆษณา Facebook Ads และช่วยไห้เรานำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้สำหรับสิ่งที่เราต้องการและเลือกวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องในการทำโฆษณาได้

บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจกับวัตถุประสงค์ของ Facebook แต่ละตัวก่อน เพื่อที่จะได้เข้าใจและเลือกใช้สำหรับการทำโฆษณา Facebook Ads ของคุณได้ตรงกับความต้องการ

สารบัญเนื้อหา

เข้าใจวัตถุประสงค์โฆษณา Facebook Ads ก่อนลงมือทำ (กดเลือกอ่านได้)

วัตถุประสงค์โฆษณา Facebook Ads กับ Marketing Funnel

Marketing Funnel

หากใครเคยได้ยินหรือเคยได้ศึกษาเกี่ยวกับ Marketing Funnel มาบ้างก็จะพบว่าตัววัตถุประสงค์ของ Facebook Ads นั้นมีความใกล้เคียงจนแทบจะเหมือนกันเลยก็ว่าได้ เนื่องจากว่า Facebook นั้นได้มีการใช้หลักการเดียวกับ Marketing Funnel นั่นเอง หากมีความเข้าใจอยู่แล้วก็จะสามารถเลือกวัตถุประสงค์สำหรับการยิงแอดได้สบาย ๆ

ข้อมูลเพิ่มเติม : Marketing Funnel 

ประเภทวัตถุประสงค์ของ Facebook Ads มีทั้งหมด 3 อย่างคือ

1. การรับรู้ (Awareness)

การรับรู้

ความหมายตามชื่อเลยคือ ต้องการสร้างการรับรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมาย โดยจะเน้นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเป็นจำนวนมาก และเราสามารถเลือกได้ว่าต้องการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ หรือต้องการให้เข้าถึงคนให้ได้มากที่สุด ซึ่งยังแบ่งได้เป็นอีก 2 วัตถุประสงค์ย่อยคือ

1.1. การรับรู้แบรนด์ (Awareness)

เป็นการนำส่งโฆษณาของเราไปให้กลุ่มเป้าหมายที่คาดว่าน่าจะจดจำแบรนด์ของเราให้ได้มากที่สุด โดยเป็นการเห็นโฆษณาซ้ำ ๆ บ่อยครั้ง และไม่ได้ต้องการให้มีปฏิสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น กดไลก์โพสต์ แชร์ คอมเมนต์ แต่จะไปเน้นให้คนจดจำมากที่สุด

1.2. การเข้าถึง (Reach)

เป็นการนำส่งโฆษณา Facebook Ads ไห้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด และเห็นซ้ำบ่อย ๆ เหมาะเป็นอย่างมากในการแนะนำสินค้าหรือต้องการสื่อสารโปรโมชั่นต่าง ๆ ของธุรกิจ รวมถึงยังสามารถทำ Remarketing เพื่อสร้างความสนใจให้กับกลุ่มเป้าหมายที่อาจจะเคยเห็นโฆษณาตัวนี้แล้วก็ยังได้

2. การพิจารณา (Consideration)

การพิจารณา

การพิจารณาจะเน้นการมีปฏิสัมพันธ์กับโฆษณาของกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการรับชมวิดีโอ การติดตั้งแอพ การส่งข้อความ ฯลฯ ในวัตถุประสงค์การพิจารณาก็จะแบ่งเป็นอีก 6 วัตถุประสงค์ย่อยดังนี้

2.1. การมีส่วนร่วม (Engagement)

โฆษณาจะถูกส่งไปยังผู้ที่มีส่วนร่วมกับโพสต์มากที่สุด เช่น กดไลค์ กดแชร์ คอมเมนต์ โดยวัตถุประสงค์ตัวนี้จะส่งไปให้คนเหล่านี้มากที่สุด ตัวนี้มีประโยชน์มาก ๆ ในการโปรโมทกิจกรรมต่าง ๆ การตอบรับการเข้าร่วม หรือการทำ “Social Proof” นั้นเอง

แอดยิง Engagement

2.2. จำนวนการติดตั้งแอพ (App Install)

ช่วยเพิ่มจำนวนการติดตั้งแอพพลิเคชั่นของคุณ แต่วัตถุประสงค์นี้จะแสดงเพียงแค่ใน IOS และ Android เท่านั้น เพื่อให้ผู้ที่เห็นโฆษณาสามารถกดติดตั้งแอพพลิเคชั่นของคุณได้ทันที

2.3. จำนวนการรับชมวิดีโอ (Video View)

ส่งวิดีโอไปหาคนที่น่าจะสนใจ และมีแนวโน้มดูจนจบ เหมาะเป็นอย่างมากในการหากลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ โดยใช้วิดีโอเป็นตัวสื่อสารให้กับกลุ่มเป้าหมายได้เข้าใจ และที่สำคัญเลยคือเราสามารถปรับแต่งให้โฆษณาได้อีก 3 รูปแบบคือ

1. ThruPlay คือ ส่งไปหาคนที่คาดว่าจะดูวิดีโอครบ 15 วินาทีหรือมากกว่า

2. 10 – Second Video View คือ เลือกส่งไปยังคนที่คาดว่าดูวิดีโอ 10 วินาทีหรือมากกว่า

3. 2 – Second Video View คือ เลือกส่งไปยังคนที่คาดว่าดูวิดีโอ 2 วินาทีหรือมากกว่า

2.4. การสร้างลูกค้าเป้าหมาย (Lead Generation)

เก็บข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายโดยไม่ต้องมีเว็บไซต์ เช่น ชื่อ เบอร์โทร อีเมล โดยให้ลูกค้ากรอกข้อมูลต่าง ๆ ตามที่เราได้กำหนดตอนทำโฆษณา Facebook Ads โดยข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปต่อยอดทำ CRM ในอนาคตได้

2.5. ข้อความ (Message)

ตัว Facebook จะส่งโฆษณาไปให้ผู้ที่มีแนวโน้มสนใจและข้อความเมื่อได้เห็นโฆษณา Facebook Ads ของเรา รวมถึงสามารถกำหนดได้ว่าจะให้แสดงที่ฟีดปกติของ Facebook หรือจะให้ขึ้นเป็น Sponsor ในหน้าของ Massager

2.6. จำนวนผู้เข้าชม (Traffic)

กระตุ้นผู้คนบน Facebook ไปที่ URL ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้คลิกลิงค์เพื่ออ่านบทความ หรือต้องการให้กลุ่มเป้าหมายกดไปยัง Landing Page ต่างๆ  ที่เราได้กำหนดไว้ โดยตัวนี้จะส่งไปหาคนที่คาดว่าจะกดลิงค์ของคุณมากที่สุด

รวมกลุ่มเป้าหมายของสินค้าทุกชนิดไว้ใน E-Book เล่มเดียว ยิงแอดได้ตรงกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น

3. คอนเวอร์ชั่น (Conversion)

คอนเวอร์ชั่น

วัตถุประสงค์นี้เป็นการกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายได้กระทำสิ่งต่าง ๆ กับโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นการกดเข้าไปสั่งซื้อสินค้า การเข้าไปชมหน้าร้าน หรือสิ่งต่าง ๆ ตามที่เราต้องการ โดยตัวนี้จะมีวัตถุประสงค์ย่อยทั้งหมด 3 ตัว

3.1. คอนเวอร์ชั่น (Conversion)

เป็นวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้กลุ่มเป้าหมายกระทำสิ่งต่าง ๆ เช่น การซื้อสินค้า การลงทะเบียน โดย Facebook สามารถช่วยให้คุณได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้ แต่การที่จะทำคอนเวอร์ชั่นนั้น จำเป็นที่จะต้องติดตั้ง Facebook Pixel ก่อน

3.2. แคตตาล็อก (Catalog Sale)

ในการทำโฆษณา Facebook Ads แบบแคตตาล็อกนั้น เราจำเป็นที่จะต้องสร้างแคตตาล็อกสินค้าหรือบริการของเราเสียก่อน ในหน้าของ Facebook Business Manager หรือหน้าเพจของเราก็ได้ เพราะ Facebook จะทำการส่งแคตตาล็อกสินค้าไปยังกลุ่มเป้าหมาย โดยให้กลุ่มเป้าหมายเกิดการซื้อหรือซื้อซ้ำได้

3.3. การเยี่ยมชมร้านค้า (Store Traffic)

เป็นวัตถุประสงค์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายนั้นได้ไปที่หน้าร้านของคุณ โดยคุณจะต้องมีหน้าร้านและเลือกพื้นที่บริเวณใกล้เคียงเพื่อนำส่งโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายและดึงเข้ามาใช้บริการหรือเข้ามายังหน้าร้านของคุณ

สรุป

การทำโฆษณา Facebook Ads จริง ๆ ไม่ได้มีความซับซ้อน แต่สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เคยทำอาจจะต้องการความช่วยเหลือบ้าง แต่เมื่อทำเป็นแล้วทุกอย่างในหน้าของ Facebook Ads Manager จะเป็นคนบอกเราเองว่าโฆษณาแต่ละตัวเป็นอย่างไร สำหรับ Marketing In Secret ขอแนะนำว่าในการทำโฆษณาแต่ละครั้งจำเป็นจะต้องเลือกวัตถุประสงค์ให้ตรงกับความต้องการของเราว่าเราต้องการอะไร และการทำก็ควรที่จะใช้วัตถุประสงค์ที่หลากหลายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

นอกจากนี้ Facebook ยังมีรูปแบบที่ให้เราได้เลือกทำโฆษณาได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอด้วยภาพนิ่ง วิดีโอ แคตตาล็อก และอื่นๆ อีกมากมาย ต้องไปไปอ่านเพิ่มเติม ประเภทโฆษณาของ Facebook

และการทำโฆษณา Facebook นั้นก็ยังช่วยให้ธุรกิจของเราเติบโตเป็นที่รู้จักให้กับหลาย ๆ คน แต่อย่าลืมว่าห้ามใช้วัตถุประสงค์เดียวซ้ำ ๆ และต้องวัดผลด้วยทุกครั้ง เพื่อนำมาพัฒนาปรับปรุงโฆษณาของเราให้มีประสิทธิภาพดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

หากเข้าใจแล้วสามารถอ่าน : สอนยิงโฆษณา Facebook Ads ปี 2021 แบบง่าย ๆ ละเอียดมาก


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
Boost Post กับ Facebook Ads Manager มีความแตกต่างยังไง เลือกใช้ตัวไหนดี?

Boost Post กับ Facebook Ads Manager มีความแตกต่างยังไง เลือกใช้ตัวไหนดี?

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

การทำโฆษณา Facebook Ads เราสามารถทำได้ 2 วิธีคือ Boost Post กับ Facebook Ads Manager โดย 2 ตัวนี้ก็มีความแตกต่างกันอยู่พอสมควรในการทำโฆษณาของ Facebook แน่นอนว่าเดียววันนี้จะไขข้อข้องใจให้กับทุกคนว่ามันมีความแตกต่างยังไงกันแน่ และควรใช้ตัวไหนดี? ประเด็นที่เคย “เอ๊ะ” ในใจ วันนี้ต้องร้อง “อ๋อ” แน่นอน

1. Boost Post คืออะไร?

Boost Post Facebook

Boost Post คือ การกดโปรโมทบนหน้าเพจของตนเอง สามารถเลือกโปรโมทโพสต์ที่มีอยู่ หรือโปรโมทเพจก็ได้ การโปรโมทจะเน้นให้เข้าถึงผู้คนเยอะที่สุด ตามงบประมาณและระยะเวลาที่เราได้กำหนดสำหรับการ Boost Post ใน 1 ครั้ง

Boost Post หากเทียบแล้วก็เหมือนกับการทำโฆษณา Facebook Ads แบบ Awareness มากกว่า

Boost Post

หน้าตารูปที่ Boost Post

การ Boost Post ในตัวโพสต์หรือเพจของเรานั้น ช่วยให้เพจเราเข้าถึงผู้คนได้เป็นปริมาณที่มาก สร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ที่เห็นโฆษณา (Engagement) แต่ผลลัพธ์ส่วนใหญ่ที่ได้จริงๆ จากการ Boost Post เห็นจะเป็นยอดการเข้าถึง การมีส่วนร่วมกับโพสต์เช่น กดไลก์ กดแชร์ คอมเมนต์โพสต์นั้นๆ เสียเป็นส่วนใหญ่ หากหวังจะให้มียอดขายคงยากนักสำหรับ Boost Post แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย

Boost Post จะเรียกว่า “ยิงแอด” ก็ไม่ถูกนัก เพราะการบูทโพสต์เป็นการเน้นให้เข้าถึงแบบกว้างๆ ไม่ได้เจาะจงตรงกลุ่มเป้าหมายมากนัก

ขั้นตอนการ Boost Post สำหรับโพสต์ที่อยู่ในเพจ

ให้เลือกโพสต์ที่เราต้องการจะ Boost ก่อนว่าเราอยากใช้โพสต์ใดในการโฆษณา แล้วก็กดปุ่ม Boost Post หรือถ้าใช้ภาษาไทยจะเป็น “โปรโมทโพสต์” ให้เรากดเข้าไปได้เลย จากนั้นเราก็เลือกกลุ่มเป้าหมาย ระยะเวลาแล้วก็งบประมาณได้เลย

เลือกโพสต์จาก Facebook

เลือกโพสต์ที่ต้องการ Boost

กลุ่มเป้าหมาย Facebook

กำหนดกลุ่มเป้าหมาย

งบและระยะเวลา

กำหนดงบและระยะเวลา Boost Post

วิธีการกดโปรโมทเพจ

การกดโปรโมทเพจก็มีลักษณะเหมือนกันกับวิธีการ Boost Post ในเพจ สามารถใช้วิธีการเดียวกันได้เลย แต่สำหรับใครที่หาปุ่มโปรโมทไม่เจอ จะอยู่ตรงด้านบนสุดของเพจ ตามวงสีแดงของรูปภาพเลย

โปรโมทเพจ

รูปโปรโมทเพจ

2. Facebook Ads Manager คืออะไร?

Facebook Ads Manager คือ

Facebook Ads Manager คือ เครื่องมือสำหรับการทำโฆษณา Facebook Ads หรือที่เราเรียกว่า “ยิงแอด” เป็นเครื่องมือที่มีความละเอียดมากกว่า Boost Post พอสมควร และช่วยให้เลือกวัตถุประสงค์ในการทำโฆษณา Facebook Ads ที่มีอยู่ 3 ตัวเลือกใหญ่ๆ และอีก 11 วัตถุประสงค์ย่อยๆ ให้เลือกได้ตรงตามความต้องการ

facebook ads manager

หน้าตา Facebook Ads Manager

รวมกลุ่มเป้าหมายของสินค้าทุกชนิดไว้ใน E-Book เล่มเดียว ยิงแอดได้ตรงกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น

3. การทำโฆษณาด้วย Boost Post กับ Facebook Ads Manager ใช้ตัวไหนคุ้มค่าสุด

เปรียบเทียบ Facebook

ข้อสงสัยที่หลายๆ คนมีแน่นอนคือ Boost Post หรือ Facebook Ads Manager ตัวไหนมันจะคุ้มกว่า เลือกแบบไหนดี?

ทำแบบ Boost Post

แอดต้องบอกเลยว่า “อยู่ที่วัตถุประสงค์แต่ละคน” หากคุณต้องการเพียงแค่ การเข้าถึง การไลก์ การแชร์ หรือคอมเมนต์ ก็สามารถเลือกทำโฆษณาด้วยตัว Boost Post ก็ได้ ไม่จำเป็นถึงขั้นต้องใช้ Facebook Ads Manager เพราะก็เหมือนกับการเลือกวัตถุประสงค์แบบ Awareness บน Ads Manager นั่นเอง แต่ Boost Post ก็มีข้อดีคือ “สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ง่ายมาก”

ทำด้วย Facebook Ads Manager

ถ้าหากคุณต้องการยอดขาย ต้องการให้ลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมหน้าร้าน อาจจะต้องใช้ Facebook Ads Manager ที่สามารถกำหนดได้อย่างละเอียดมากกว่าตัว Boost Post และยังมีวัตถุประสงค์ที่ตรงกับความต้องการของคุณ สามารถเลือกใส่ปุ่ม Call To Action ลงในชิ้นงานโฆษณา Facebook Ads ของคุณได้อีกด้วย

เช่น คุณเปิดร้านคาเฟ่แมว อยู่แถวสุขุมวิทและอยากให้คนมาที่คาเฟ่ของเราเพื่อมาเล่นกับน้อนแมว ก็สามารถยิงแอดเลือกได้เลยว่าอยากให้คนในสุขุมวิท รู้ว่าคาเฟ่อยู่ไหนเพื่อให้มาเล่นกับแมวเรา

ส่วนตัวแอดปกติใช้ Facebook Ads Manager อยู่แล้วในการทำโฆษณา Facebook Ads เพราะสามารถปรับตั้งค่าโฆษณาได้อย่างหลากหลาย เลือกการทำโฆษณาได้หลายแบบ เช่น ทำเป็นรูปภาพสไลด์ ทำเป็นคอลเล็กชั่นปรับแต่งอินสแตนท์เอ็กซ์พีเรียนซ์ เป็นต้น

โปรโมทเพจ

ตัวอย่างโฆษณาจากเพจ K SME

วิดีโอ Facebook Ads

ตัวอย่างวิดีโอโฆษณาจากเพจ LINE for Business 

Lead Generation

ตัวอย่างโฆษณา Lead Generation จากเพจ Google Ads

แถม Facebook Ads Manager ยังมีความละเอียดในด้านของการสรุปผลลัพธ์ และยังสามารถโหลดเก็บใส่เป็นไฟล์ Excel เพื่อทำเป็น Report ของเราเองก็ยังได้

4. เปรียบเทียบกันหมัดต่อหมัดระหว่าง Boost Post กับ Facebook Ads Manager

advantage facebook

จุดเด่น Boost Post vs Facebook Ads Manager 

5. ทริคเล็กๆ น้อยๆ

ทริคทำโฆษณา

– หากใครต้องการทำโฆษณา Facebook Ads ให้มีราคาถูกลง ควรใช้ Facebook Ads Manager ช่วยในการทำ

– Facebook Ads Manager สามารถเข้าผ่าน URL โดยตรงได้เลย ไม่ต้องเข้าไปที่เพจ ไปตัวจัดการโฆษณาก็ได้

– Facebook Ads จะมีความหลากหลายมากขึ้นเมื่อทำด้วย Facebook Ads Manager เพราะสามารถเลือกรูปแบบได้ทั้ง Carousal Instant Experience Photo Slide และอื่นๆ

– หากไม่มั่นใจกลุ่มเป้าหมายที่เรามีอยู่ สามารถเอากลุ่มเป้าหมายไปเช็คได้ที่ Facebook Audience Insight เพื่อดูรายละเอียดกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติมได้

– หากต้องการทำโฆษณา Facebook Ads แนะนำว่าให้ทำผ่านคอมพิวเตอร์แทนโทรศัพท์มือถือจะดีกว่า เพราะเราสามารถกำหนดข้อมูลได้ละเอียด อีกทั้งข้อมูลบางส่วนยังไม่ถูกตัดหายไปอีกด้วยสำหรับในคอมพิวเตอร์

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : ยิงแอด Facebook ผ่านคอมพิวเตอร์ vs โทรศัพท์มือถือ

การใช้งาน Boost Post และ Facebook Ads Manager เหมาะกับอะไร?

วิธีทำโฆษณา Facebook

Boost Post

เหมาะกับการเน้นการเข้าถึงหรือคนที่ไม่ได้ต้องการยอดขาย สามารถทำได้ง่าย รวดเร็ว สะดวก แต่ขาดความแม่นยำ และประสิทธิภาพน้อยกว่า เหมาะกับการสื่อสารแบรนด์แบบกว้างๆ เน้นให้คนจำได้ หรือแนะนำสินค้า ธุรกิจใหม่ๆ ของตนเอง

นิยาม Boost Post เรียบง่าย รวดเร็ว เข้าถึงกระจาย

Facebook Ads Manager

เหมาะกับการทำโฆษณาแบบละเอียด ต้องการผลลัพธ์ที่ดี อย่างเช่น ยอดขาย การเข้าชมเว็บไซต์ การคลิกลงทะเบียนที่ลิงค์ หรือการเยี่ยมชมหน้าร้านค้าของเรา ตัวนี้อาจจะใช้เวลาเตรียมนานกว่าโฆษณาแบบ Boost Post หน่อย เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่เยอะกว่าพอสมควร และยังกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจนหากเรามีข้อมูลที่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Customer Audience, Lookalike ในการช่วยกำหนดกลุ่มเป้าหมายอีกด้วย

นิยาม Facebook Ads Manager ช้าแต่ชัวร์ เพราะกลัวไม่แม่นยำ

เมื่อเราทำ Facebook Ads ไม่ว่าจะเป็นการ Boost Post หรือใช้งาน Facebook Ads Manager ก็ย่อมต้องใช้ความรอบคอบและพิจารณา พร้อมทั้งเก็บข้อมูลจากผลลัพธ์ที่ได้มากทุกครั้ง ถึงแม้จะทำได้ง่ายทุกตัวเมื่อชำนาญแล้วก็ตาม แต่ก็อย่าลืมติดตามผล หมั่นพัฒนา และปรับปรุงโฆษณาอยู่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เรา

สรุป

หากต้องการทำโฆษณาให้ได้ผลดีที่สุด ส่วนใหญ่มักจะใช้การยิงแอดโฆษณา Facebook Ads ผ่าน Facebook Ads Manager กันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากว่าการเลือกตัววัตถุประสงค์สำหรับการทำโฆษณามีความสำคัญเป็นอย่างมาก ถามว่าแล้วถ้าอยากใช้ Boost Post ได้รึเปล่า แอดก็ต้องตอบว่าได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าต้องการโฆษณาไปเพื่ออะไร เช่น เพื่อยอดขาย เพื่อให้เข้าถึงมากที่สุดแต่ไม่ต้องการยอดขาย ต้องการให้คนชมหน้าร้าน ฯลฯ เครื่องมือของ Facebook ย่อมมีประโยชน์ทุกตัวแน่นอนหากคุณเข้าใจและใช้งานมันเป็น


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
Shopping cart0
There are no products in the cart!
Continue shopping