เพิ่มอัตราการมองเห็นให้เพจ Facebook แบบก้าวกระโดดด้วย “Reels”

เพิ่มอัตราการมองเห็นให้เพจ Facebook แบบก้าวกระโดดด้วย “Reels”

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

ช่วงนี้ต้องบอกเลยว่า Facebook ได้ประสบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของรายได้ที่ลดลงอย่างมาก ทำให้มีการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในมือของตัวเองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ Facebook ที่ปรับถี่สุดๆ เท่าที่แอดจำได้เหมือนเพิ่งทำสรุปอัพเดทไปได้ไม่นานก็มีอัพเดทใหม่จากทาง Facebook เข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งกับคนที่ทำเพจขายสินค้าหรือเพจสำหรับธุรกิจของตัวเอง และเป็นการประกาศอีกทางว่าพร้อมที่จะสู้กับ TikTok เจ้าแห่ง Short Video Content ที่ถูกสร้างโดย Bytedance จากจีนแล้ว

เพิ่มอัตราการมองเห็นให้เพจ Facebook แบบก้าวกระโดดด้วย “Reels” (กดเลือกอ่านได้)

เทรนด์ Social Media ปัจจุบัน

ต้องบอกว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของวิดีโอกันเลยทีเดียว เพราะจากผลสำรวจของ Hootsuit ผู้ให้บริการด้านการจัดการเกี่ยวกับ Social Media และคอยแชร์ข้อมูลต่างๆ ให้กับเหล่า Marketer ทั่วโลกได้มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่รับชมวิดีโอ โดยหากเปรียบเทียบกับหลายๆ ปีพบว่าอัตราการเติบโตในแง่ของการรับชมวิดีโอเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ปกติแล้วหากเราพูดถึงวิดีโอสั้นๆ ความยาวไม่เกิน 10 นาทีแล้ว เราก็มักจะคิดกันว่า TikTok นี่แหละที่กลายเป็นเจ้าตลาดอันดับ 1 เรียบร้อย แต่จากผลสำรวจของ Hootsuit พบว่าอันดับหนึ่งกลับกลายเป็น YouTube รองลงมาก็คือ Facebook และอันดับ 3 คือ TikTok ซะงั้น ผิดคาดสุดๆ แอดเห็นข้อมูลเองครั้งแรกก็แปลกใจเหมือนกัน

ข้อมูลของ Social Media

ข้อมูลจาก Hootsuit

จากอัพเดทล่าสุดเมื่อครั้งที่แล้วของ Facebook ได้มีการปรับการมองเห็นใหม่ครั้งใหญ่ไปแล้วอีกรอบหนึ่งก็คือ เพิ่มการมองเห็นให้กับเพจและลดการมองเห็นหน้าส่วนตัวลง เพื่อผลักดันเพจธุรกิจให้ถูกมองเห็นได้มากยิ่งขึ้น แต่ต่อมาปรับไปได้ไม่นานก็เข้าสู่การอัพเดทครั้งนี้อีกรอบคือ ลดการมองเห็นของเพจลงไปอีกพอสมควร แต่ไปเพิ่มการมองเห็นให้กับ Reels แบบเต็มที่

สัญญาณในการอัพเดทครั้งนี้ก็พอเดาได้เลยว่า TikTok น่าจะขึ้นมาเป็นคู่แข่งคนสำคัญเทียบเท่ากับเจ้าอื่นๆ แล้ว และ Facebook ก็ไม่อาจจะปล่อยให้ผู้ใช้งานถูกแย่งไปได้ง่ายๆ ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่าง และสิ่งที่จะสู้ได้นั้นก็คือ “Reels” นั่นเอง โดยตัวนี้จะมีลักษณะการใช้งานคล้ายกับ TikTok อย่างมาก เป็นแหล่งที่รวบรวมวิดีโอสั้นๆ และแบ่งปันให้กับผู้ใช้งานคนอื่นๆ  ได้รับชม โดยวิดีโอยิ่งได้รับความนิยมมากเท่าไหร่ โอกาสในการเข้าถึงก็มากขึ้นเท่านั้น เรียกได้ว่าทั้งบน Facebook และ Instagram ตอนนี้เหล่า Reels ถือว่าเป็นขุมทรัพย์สำคัญของแบรนด์และเหล่าคนค้าขายเลยทีเดียว

Facebook Reels

หน้าตาของ Facebook Reels

ประหยัดต้นทุนในการทำโฆษณาลง 30% และค้นหากลุ่มเป้าหมายให้กับธุรกิจได้แม่นยำยิ่งขึ้นด้วย InterestPRO

ทำไมต้องใช้ Facebook Reels

จากการทดสอบของหลายๆ คนพบว่าในเพจ Facebook ปัจจุบันมีอัตราการเข้าถึงที่ลดลงอย่างมาก แทบจะเหมือนกับก่อนหน้านี้ก็คือมองแทบไม่เห็น แต่สำหรับในฝั่ง Reels เองก็ได้รับการเข้าถึงมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะลงวิดีโอไปแบบไม่ได้ตั้งใจทำและดูไม่น่าดึงดูดก็ตาม เพราะเป็นการทดสอบว่าตัว Algorithm ล่าสุดที่ Facebook ได้อัพเดทนั้นมันทำงานหรือยัง จะได้ปรับตัวถูก

ในการทำวิดีโอ Reels บน Facebook เพจนั้นก็ไม่ยาก หากทำผ่านโทรศัพท์มือถือในหน้าที่เราจะโพสต์อะไรลงเพจก็จะมีปุ่ม Reels อยู่ตรงนั้นด้วย หากเราต้องการอัพโหลดวิดีโออะไรขึ้นไปก็สามารถกดอัพจากตรงนั้นได้เลย แล้ว Facebook ก็จะนำไปแสดงในที่ต่างๆ ให้กับเรา หากนึกไม่ออกว่าอยู่ตรงไหนดูจากรูปด้านล่างเลย

สร้างคลิป Reels หรืออัพโหลดทำผ่านเพจ Facebook ได้เลย

ในตอนนี้จากการอัพเดทอีกครั้ง สิ่งที่เราไม่ควรพลาดเลยนั้นก็คือ Reels ที่เราควรจะไปลงวิดีโอเพื่อให้เกิดการเข้าถึงให้ได้มากยิ่งขึ้น และเป็นอีกตำแหน่งที่มีความสำคัญและคุณไม่ควรที่จะพลาดอย่างยิ่ง ในส่วนของการทำวิดีโอนั้นหากใครกำลังหาแนวทางก็อาจจะไปส่องสไตล์การทำวิดีโอบน TikTok ได้ เพราะส่วนใหญ่เวลามีโฆษณาเกิดขึ้นบน TikTok หากไม่สังเกตให้ดีหลายคนก็รับชมวิดีโอนั้นแบบไม่รู้ตัว และเพื่อไม่ให้ผู้ชมเลื่อนหนีจำเป็นจะต้องทำคอนเทนต์วิดีโอที่เนียนกลมกลืนไปกับวิดีโอทั่วไปอย่างยิ่ง

สิ่งที่ได้รับความนิยมบนวิดีโอสั้นๆ ก็จะเป็นพวกคลิปบันเทิงสั้นทั่วไป การโชว์สกิล การโชว์ขีดความสามารถของสินค้า แสดงให้เห็นถึงจุดเด่นและการใช้งานของสินค้า การนำเสนอนั้นจะต้องไม่ดูให้เป็นการขายมากเกินไป เพราะหากเป็นการขายแบบจ๋าๆ แล้วมันก็ยากที่จะทำให้ผู้ชมรับชมวิดีโอของเรา

สรุป

ยังไงก็ตามนี่ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับคนที่ไม่เคยทำวิดีโอใดๆ เลย แอดคิดว่าหากคุณจะเริ่มทำวิดีโอลง Reels อาจจะต้องไปดูสไตล์การทำวิดีโอจาก TikTok หรือถ้าคุณเป็นคนขายสินค้าอาจจะไปดูคอนเทนต์ที่เค้าทำรีวิว มันช่วยเป็นไอเดียและช่วยให้เรามีแนวทางที่ดียิ่งขึ้น และอย่าลืมว่าตอนนี้ Facebook ให้ความสำคัญกับ Reels แบบสุดๆ ลองไปทำวิดีโอแล้วลงเพื่อดูผลลัพธ์กันด้วยนะ


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
ขายของไม่มีคนซื้อ ? ทำทุกวิธีก็ยังไม่ได้ กับ 5 เหตุผลว่าทำไมคุณถึงขายไม่ออกสักที ?

ขายของไม่มีคนซื้อ ? ทำทุกวิธีก็ยังไม่ได้ กับ 5 เหตุผลว่าทำไมคุณถึงขายไม่ออกสักที ?

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

คนที่อ่านบทความนี้คงเริ่มจะสงสัยแล้วว่าทำไมเมื่อเราขายสินค้าแล้วทำไมขายไม่ได้สักทีเหมือนกับคนอื่นๆ ซึ่งบางคนยอดปังอย่างมากแต่ทั้งๆ ที่เราก็ทำเหมือนกับเค้าก็ขายไม่ดีเท่ากัน รวมถึงได้ทำทุกทางแล้วก็ยังไม่มีคนซื้อสินค้าอยู่ดี จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าเราจะหาสาเหตุไม่ได้เลย เดียวเราจะมาค่อยๆ เจาะถึงสาเหตุแต่ละข้อกันว่ามีอะไรบ้างที่เป็นปัจจัยทำให้ไม่มีคนซื้อสินค้าของเรา และเราจะแก้ไขมันได้อย่างไร

ขายของไม่มีคนซื้อ ? ทำทุกวิธีก็ยังไม่ได้ กับ 5 เหตุผลว่าทำไมคุณถึงขายไม่ออกสักที ? (กดเลือกอ่านได้)

1. ไม่มีการเข้าถึงเลย

ต้องเข้าใจก่อนว่าตอนนี้แพลตฟอร์มมีจำนวนจำกัด โดยมีไม่กี่แพลตฟอร์มเท่านั้นที่เป็นที่นิยมและมีคนเข้าใช้งานเยอะ คุณอาจจะต้องเจอคนขายสินค้าต่างๆ มากมาย แน่นอนว่าคุณเองก็เป็นหนึ่งในนั้นและต้องแข่งกับคนอื่น เบื้องต้นหากคุณขายบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียลองปรับเปลี่ยนจากการทำโพสต์เขียนเป็นประเภทวิดีโอบ้าง

เพราะปัจจุบันหลายแพลตฟอร์มเริ่มเน้นการนำเสนอผ่านวิดีโอมากขึ้น เราอาจจะรวมรูปที่เราทำไว้หรือรูปจากแบรนด์มาทำเป็นวิดีโอแกลลอรี่เพื่อนำเสนอก็ได้ รวมถึงการแชร์คอนเทนต์ไปยังที่ต่างๆ เพื่อเพิ่มการเข้าถึง ทั้งนี้ต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอเพื่อทดสอบว่าคอนเทนต์ไหนเวิร์คและสามารถดึงดูดใจผู้อ่านได้ ลองอ่านแนวทางจากบทความเหล่านี้ได้เลยนะ

2. สินค้าเหมือนกับคนอื่น

สินค้าเหมือนกับคนอื่นไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด แต่ปัญหาส่วนใหญ่ที่มักจะเกิดขึ้นกับคนขายของออนไลน์คือเมื่อเห็นสินค้าตัวไหนขายดีก็มักจะหยิบสินค้าชนิดนั้นมาขายด้วยเสมอ ซึ่งเป็นธรรมชาติอยู่แล้วเมื่อขายอะไรดีก็มักจะมีคู่แข่งใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกือบทุกคนคิดเหมือนเรากันหมด แน่นอนว่าก็จะมีสินค้าชนิดเดียวกันวางขายเต็มไปหมดและเกิดเป็นคู่แข่งของคุณ ทีนี้แหละก็เป็นปัญหาตรงนี้สินค้าของคุณถูกคนอื่นๆ เบียดหายออกไปจากตลาดได้เช่นกัน

ทางแก้คือคุณอาจจะต้องหาความแตกต่างให้ได้จากคนอื่นเช่น การเพิ่มบริการเสริมเข้าไป การทำ Bundle Products ที่ใกล้เคียงกัน หรือการทำรูปรูปภาพใหม่ให้ดูแตกต่างก็ได้

3. ทำอะไรแบบเดิมๆ

สังเกตได้จากธุรกิจใหญ่ๆ มักจะมีอะไรใหม่เสมอทุกปีเป็นประจำ เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์รวมถึงเป็นการเปลี่ยนวิธีการใหม่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น หากคุณเป็นคนที่ขายของออนไลน์และใช้วิธีการขายแบบเดิมๆ เขียนแบบเดิมๆ ก็อาจจะลองปรับเปลี่ยนเนื้อหาใหม่ เปลี่ยนคำ เปลี่ยนรูป เปลี่ยนสไตล์การนำเสนอก็ได้เหมือนกัน ถึงแม้บางอันไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากนักแต่มันก็ช่วยให้เราได้ข้อมูลและสามารถนำมาปรับปรุงต่อยอดได้ด้วยเช่นกัน รวมถึงหากปกติคุณขายสินค้าด้วยการโพสต์อย่างเดียวไม่มีโปรโมชั่นใดๆ ก็ลองนำเสนอโปรโมชั่นหรือขยายช่องทางเพิ่มเติมดูก็สามารถเพิ่มยอดขายและทำให้เรามีโอกาสในการขายสินค้าได้ด้วย

4. ราคาก็เป็นปัจจัยสำคัญ

เรื่องราคาก็เป็นเหตุผลหลักๆ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะสินค้าพื้นฐานหรือไม่ก็เป็นสินค้าที่แมสอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น ช่วงนึงน้องบองกำลังฮิตทำให้ใครๆ ก็ขายน้องบอง ช่วงนั้นด้วยปริมาณที่คนขายแทบจะมากกว่าผู้ซื้อทำให้เกิดการตัดราคาหนักอย่างมาก

ใครที่ขายแพงก็หมดโอกาสในการขายไปเลยก็มี ดังนั้นหากสินค้าของคุณเป็นสินค้าประเภททั่วๆ ไปที่มีขายเยอะแยะเรื่องราคาก็เป็นปัจจัยสำคัญ แต่ถ้าอยากทำให้เราขายราคาเดิมได้และขายออกเหมือนกับคนอื่นก็อาจจะลองปรับเรื่องบริการ การรับประกัน หรือส่วนอื่นๆ เพื่อให้ดูเหนือกว่าและแตกต่างกว่าคู่แข่ง เพื่อลบจุดอ่อนทางด้านราคาออกไป

5. ร้านค้ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่

บางครั้งลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อเพราะภาพลักษณ์ร้านค้าดูน่าเชื่อถือก็มี โดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่ขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับด้านความงามที่จำเป็นต้องเน้นรูปภาพ วิดีโอให้มีความสวยงามดูน่าสนใจ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผู้ขาย หากคุณใช้รูปง่ายๆ บางครั้งลูกค้าอาจจะไม่มีความเชื่อมั่นในตัวสินค้าที่เราขายก็ได้ ดังนั้นลองหันมาใส่ใจด้านการทำคอนเทนต์ การทำรูปภาพ รวมถึงวิธีการนำเสนอดู รวมถึงอาจจะโพสต์รีวิวของลูกค้าของเราก็สามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือได้เช่นกัน

กรอบรูปสินค้า Manyframe กรอบรูปสินค้าออนไลน์ไม่ต้องจ้างกราฟิก ทำได้ผ่านทั้ง Canva Photoshop และแอพในมือถือ ตกเพียงกรอบละ 0.8 บาทเท่านั้น

6. อย่าละเลยเกี่ยวกับด้านการตลาด

การทำการตลาดก็มีความสำคัญอย่างมากแม้กระทั่งกับการขายของออนไลน์ การตลาดไม่ใช่เพียงแต่การโฆษณาหรือว่าใช้การจ่ายเงินเป็นปริมาณมหาศาลเท่านั้น แต่เราสามารถทำมันได้โดยที่เราต้องรู้ความต้องการของลูกค้า การเข้าหาลูกค้า รวมถึงการที่สินค้าของเราจะช่วยแก้ไขปัญหาของลูกค้าได้อย่างไร ลองไปปรับพวกเนื้อหา การนำเสนอ การทำวิดีโอ แต่ถ้าอยากให้เข้าถึงลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นอาจจะต้องมีการนำเงินไปลงทุนทำโฆษณาเพื่อเพิ่มผลลัพธ์ก็ได้

ในด้านของการทำการตลาดก็มีหลากหลายมิติและปรับเปลี่ยนกันได้ตลอดเวลา ซึ่งคุณเองก็จำเป็นจะต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยอยู่เสมอ เพราะเมื่อไหร่ที่เราไม่ได้ปรับเปลี่ยนตัวเองแล้ว ก็มีโอกาสที่จะโดนทำให้ออกจากตลาดได้ หากใครสนใจเรื่องการตลาด ลองอ่านบทความเหล่านี้ดูก่อน

สรุป

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการขายไม่ออกหลักๆ ก็จะมีในเรื่องของการที่ร้านค้ามีคนเข้าถึงน้อยมากๆ ทำให้คนไม่รู้จัก รวมถึงการขายสินค้าชนิดเดียวกับคู่แข่งที่มีจำนวนมากบนตลาดอยู่แล้ว ทำให้ลูกค้ามีตัวเลือกที่หลากหลายและทำให้สินค้าของเราไม่ถูกพบเจอโดยลูกค้า ซึ่งวิธีเหล่านี้มันก็มีการแก้เบื้องต้นด้วยการปรับเปลี่ยนเนื้อหานำเสนอ การทำคอนเทนต์ใหม่ๆ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น รวมถึงการขยายช่องทางการขายใหม่ๆ อื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อให้เราเข้าถึงลูกค้าได้มากกว่าเดิม ก็ช่วยทำให้สินค้าของเราขายได้อีกด้วย


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
Facebook Pay ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ระบบการชำระเงินเป็นเรื่องง่าย ครบจบในที่เดียว !

Facebook Pay ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ระบบการชำระเงินเป็นเรื่องง่าย ครบจบในที่เดียว !

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

เพื่อนๆ เคยรู้สึกว่าการชำระเงินบนโลกออนไลน์เป็นเรื่องที่ยุ่งยากกันบ้างไหมคะ ไม่ว่าเพื่อนๆ จะเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หรือเป็นลูกค้าก็ตาม

เชื่อว่าหลายคนคงจะเคยผ่านกระบวนการชำระเงินที่ซับซ้อนกันมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการส่งเลขบัญชีให้ลูกค้า เข้าแอปธนาคารเพื่อโอนเงิน ส่งสลิปยืนยันการโอน และตรวจสอบความถูกต้องของการโอนเงิน

แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะว่าตอนนี้ทาง Facebook ก็ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่มีชื่อว่า Facebook Pay

มาช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งานเฟสบุ๊คทุกคน เรียกได้ว่าเป็นฟีเจอร์ที่ทำให้การชำระเงินครบจบในที่เดียวเลยล่ะค่ะ

Facebook Pay ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ระบบการชำระเงินเป็นเรื่องง่าย ครบจบในที่เดียว ! (เลื่อนอ่านกันได้เลย)

Facebook pay คืออะไร

FB Pay
Facebook payment

Facebook Pay คือระบบที่ใช้ในการชำระสินค้าผ่านทาง messenger ของ Facebook  ซึ่งร้านค้าจะสามารถส่งบิลการชำระสินค้าไปทาง messenger ของลูกค้าได้

โดยที่จะระบุข้อมูลสินค้า ยอดชำระ ช่องทางการชำระสินค้า รวมถึงลูกค้าสามารถกดชำระเงินผ่าน link ใน messenger ได้เลยโดยที่ไม่ต้องกดออกจากแอปเพื่อไปชำระสินค้าผ่านทางแอปธนาคารต่างๆ

สะดวกใช่ไหมล่ะคะ  ระบบ Facebook Pay เขาได้เชื่อมกับธนาคารไว้เรียบร้อยแล้ว

เมื่อลูกค้าโอนเสร็จ สลิปก็จะถูกส่งโดยอัตโนมัติโดยที่ลูกค้าไม่ต้อง upload สลิปเองเลย

Facebook Pay ฟีเจอร์ตัวนี้เข้าทำให้เราหมดแล้ว  นอกเหนือจากนั้น ลูกค้ายังสามารถติดตามาสถานะการชำระเงินของตัวเองได้อีกด้วย

เห็นไหมละคะว่า Facebook Pay ช่วยให้การชำระเงินเป็นเรื่องง่าย สะดวกรวยเร็วทันใจสายช้อปอย่างแน่นอน

ข้อดีของ Facebook pay

1.ได้ความปลอดภัยระดับมาตรฐานสากล

การชำระเงินผ่านทาง Facebook Pay มีความปลอดภัยสูงเพราะในการชำระเงินแต่ละครั้ง

จะมีการเข้ารหัสรวมถึงมีระบบรักษาความปลอดภัย PCI DSS ที่ได้มาตรฐานระดับสากลซึ่งจะช่วยให้การชำระเงินปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

2.ปิดการขายได้ง่ายและเร็วยิ่งขึ้น

เมื่อมีการตกลงซื้อขายสินค้ากันเรียบร้อยแล้ว ร้านค้าสามารถส่งใบแจ้งชำระได้ทาง Facebook Pay บน messenger ได้เลยทันที

ซึ่งลูกค้าก็สามารถกดจ่ายเงินผ่านทาง Facebook Pay ได้โดยที่ไม่ต้องกดออกจากแอปเพื่อไปพิมเลขบัญชี และโอนเงินใน mobile banking

ระบบ Facebook Pay นี้จะช่วยประหยัดเวลา เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ซึ่งจะทำให้โอกาสในการเปลี่ยนใจไม่ซื้อของลดลง และสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

ข้อควรระวัง­ของ Facebook Pay

การชำระเงินผ่านทางFacebookPayนั้นหากลูกค้าจ่ายเงินผ่านแอปของธนาคารต่างๆ ผู้ขายจะไม่โดนหักค่าธรรมเนียมใดๆ

แต่หากลูกค้าชำระกับ Facebook Pay ผ่านทางบัตรเครดิต ผู้ขายจะโดนระบบ Facebook Pay หักค่าธรรมเนียม 2.5 % จากราคาขาย+ ค่า Vat 7 % ก่อนที่ระบบจะส่งเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้ขายในวันถัดไป

จุดอ่อนของ Facebook Pay

ถึงแม้ว่าจะเป็นฟีเจอร์ที่ดีอย่างมากสำหรับในฝั่งของผู้ซื้อและผู้ขาย แต่ในบ้านเรานั้นยังไม่ได้รับความนิยมมากพอสมควร

เนื่องจากว่าบางคนก็ไม่รู้วิธีผูกบัญชีหรือบางคนก็ยังสะดวกเป็นแบบเก่า หรือไม่ก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของระบบการชำระเงินมากกว่าทำให้ยังไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร

 แต่ถ้าเกิดได้รับความนิยมมากพอแล้วล่ะก็ บอกเลยว่ามันสะดวกทั้งการรับ – จ่ายเงินของทั้ง 2 ฝั่ง เหมือนกับเราซื้อของบนแพลตฟอร์ม eCommerce อย่าง Shopee หรือ Lazada ได้เลย

ธนาคารในไทยที่สามารถผูกกับFacebook Pay ได้

ในการชำระเงินผ่านช่องทาง Facebook Pay ก็มีหลากหลายธนาคารให้เราเลือกชำระได้ตามสะดวก

วันนี้แอดมินได้ลิสต์มาให้แล้วค่ะว่ามีธนาคารอะไรบ้างที่ผูกกับ Facebook Pay ได้

1.Mobile banking ธนาคารกสิกรไทย 2. ธนาคารไทยพานิชย์  3.ธนาคารกรุงเทพ 4.ธนาคารกรุงศรี

นอกเหนือจากนั้น เรายังสามารถชำระผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ในเครือ Visa, MasterCard และ JCB อีกด้วยค่ะ

สรุป 

Facebook Pay เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่เข้ามาช่วยให้การชำระเงินซื้อของออนไลน์บน Facebook ง่าย สะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และปลอดภัยด้วย PCI DSS ตามมาตรฐานสากล

สำหรับใครที่สนใจอยากจะใช้ฟีเจอร์นี้ ไว้แอดมินจะมาแชร์วิธีสมัคร Facebook Pay วิธีใช้งาน แบบเข้าใจง่ายสุดๆ อ่านจบทำตามได้เลย รอติดตามกันนะคะ


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
สายยิงแอดเฟสบุ๊ค ต้องอ่าน  “Virtual Card” ตัวช่วยที่ทำให้จ่ายเงินยิงแอดเป็นเรื่องง่าย

สายยิงแอดเฟสบุ๊ค ต้องอ่าน “Virtual Card” ตัวช่วยที่ทำให้จ่ายเงินยิงแอดเป็นเรื่องง่าย

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

แอดมินเชื่อว่าหลายๆคนคงจะเคยประสบปัญหา เวลายิงแอดเฟสบุ๊คแล้วโดนแบนบัญชีโฆษณากันมาบ้างเนอะ หนำซ้ำบัตรเครดิตที่เราใช้ชำระก็โดนแบนไปด้วย จนถึงขั้นต้องวิ่งหาเปลี่ยนบัตรใหม่กันเป็นว่าเล่น ซึ่งมันก็คงอาจจะทำให้หลายๆ คนเกิดความรำคานอยู่ไม่มากก็น้อย

วันนี้แอดมีเรื่องราวเกี่ยวกับการชำระเงินโฆษณาของ Facebook ที่น่าสนใจมากๆ เรื่องหนึ่งมาแนะนำเพื่อนๆกันค่ะในบทความนี้แอดจะมาพูดถึงเรื่อง“Virtual Card”เป็นบัตรที่จะทำให้ชีวิตของนักยิงแอดเฟสบุ๊คอย่างเราๆ ไม่ต้องยุ่งยากอีกต่อไป อยากรู้ไหมบัตร Virtual Card คืออะไร พิเศษกว่าบัตรเครดิตทั่วไปยังไง ไปอ่านกันเลยค่ะ

บัตร Virtual Card คืออะไร

Virtual Card หรือบัตรเครดิตเสมือน คือ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบออนไลน์ ที่ไม่สารถจับต้องได้ ไม่มีบัตรเป็นใบจริงๆให้ถือ แต่จะอยู่แบบดิจิทัลผ่านโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นต้น

บัตรเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีตัวเลข 16 หลัก ที่ด้านหน้าบัตรมี ชื่อ นามสกุลผู้ถือบัตร วันเดือนปีที่หมดอายุ รวมถึงรหัสยืนยันตัวตนของผู้ถือบัตร CVV/CVC  3 หลักอีกด้วย

แต่เพื่อนๆรู้หรือไม่ว่า บัตรเครดิตเสมือน Virtual Card มีถึง 3 แบบด้วยกัน คือ Virtual Credit Card, Virtual Debit Card และ Virtual Prepaid Card บัตรเติมเงินที่จำเป็นต้องผูกกับ E-wallet Card

ทำไมต้องใช้บัตร Virtual Card ในการยิงแอดเฟสบุ๊ค

เพื่อนๆ อาจจะสงสัยกันใช่ไหมคะว่า จริงๆ แล้วเนี่ยการจ่ายค่าโฆษณาให้กับทาง Facebook จะสามารถทำได้หลายหลายช่องทาง ไม่ว่าจะจ่ายผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตในเครือ American Express,Mastercard, Visa รวมถึง Paypal, QR Code สแกนจ่ายเงิน หรือแม้แต่ Internet Banking

แล้วทำไมถึงต้องใช้บัตรเครดิตเสมือน Virtual Cardด้วยหล่ะ ก่อนอื่นแอดอยากให้เข้าใจก่อนว่า Facebook นั้น เป็นแพลตฟอร์ที่มีขึ้น เพื่อให้คนมาแชร์เรื่องราว พูดคุยประเด็นต่างๆกัน

ดังนั้น การที่พี่มาร์ก ซักเคอเบิร์กอนุญาติให้ยิงแอดเฟสบุ๊ค พี่เขาเลยต้องตั้งกฎขึ้นมามากมาย เพื่อควบคุมโฆษณากันหน่อยแหละ

บรรดานักยิงแอดหลายๆ คนก็อาจจะเผลอหรือตั้งใจทำผิดกฎของเฟสบุ๊คเข้าซะงั้น เช่น ทำโฆษณายาลดน้ำหนัก ครีมผิวขาวหน้าเด้ง หรือสินค้าต่างๆ ที่ไม่ถูกต้องตามหลักของเฟสบุ๊ค  ถ้าทำผิดกฎเฟสบุ๊คก็จะโดนแบนบัญชีโฆษณา ทำให้ไม่สามารถยิงแอดได้

ตามปกติพอโดนแบนกันแล้วก็ต้องไปเปิดบัญชีใหม่ เอาบัตรเครดิตเดิมที่เคยผูกไว้กับบัญชีเก่าก็เอามาผูกเข้ากับบัญชีใหม่เหมือนเดิม การทำแบบนี้วนลูบไปเรื่อยๆ เป็นวัฏจักรก็เป็นเรื่องปกติของคนที่เป็นสายยิงแอดอยู่แล้ว แต่รู้หรือไม่ว่าเจ้าตัว AI ของ Facebook สามารถเรียนรู้เรื่องต่างๆ รวมถึงการปรับปรุง “Algorithm Facebook” อย่างต่อเนื่องก็ทำให้ AI มันฉลาดมากขึ้นด้วย

อันนี้เป็นความเชื่อของหลายคนที่ทำโฆษณาว่า หากใช้บัตรใบเดียวกับบัญชีที่เคยถูกแบนไปก่อนหน้ามากเกินไป มันจะส่งผลให้เมื่อเราฟาร์มบัญชีมาใหม่วอร์มเรียบร้อยตามลูปปกติแล้วมันจะโดนแบนได้ง่ายขึ้นเพราะเจ้า AI ของ Facebook จำได้ว่าบัญชีดังกล่าวใช้บัตรเครดิตใบเดียวกันกับก่อนหน้าที่โดนแบนไปแล้ว

และเมื่อตรวจสอบพบว่าโดนแบนหลายรอบจะทำให้ Facebook มองว่าไม่มีคุณภาพ จึงทำให้โดนแบนได้ง่ายสุดๆ ยังไงล่ะ ซึ่งการทำบัตรเครดิตใหม่ก็แสนจะยุ่งยาก ทั้งเสียเงินเสียเวลาอีก ดังนั้นบัตร “Virtual Card”  คือทางออกที่ดีสำหรับหลายๆ คน

ซึ่งหน้าตาของบัตรอย่างที่บอกว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกันกับบัตรเครดิตที่เป็นแบบตัวจริงจึงเข้ามาเป็นพระเอกขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยเหล่าบรรดานักยิงแอดให้สามารถใช้หนึ่งบัญชีธนาคาร ก็สามารถทำบัตรใหม่ได้หลายใบ ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารเลย

 และเจ้า Virtual Cardเป็นตัวช่วยที่มีดีมากกๆ ตัวหนึ่งที่ทำให้นักการตลาดออนไลน์ แม่ค้าออนไลน์ สามารถประหยัดเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะนำงบการเงินและเวลาของตัวเองไปทำบัตรใหม่ เราก็เอาเวลาไปคิด Business Model ใหม่ๆ สร้างสรรค์ ให้มันปังกว่าเดิมไม่ดีกว่าเยอะเลย

ทำไมถึงไม่นิยมใช้บัตรเครดิตปกติในการยิงแอดเฟสบุ๊ค

ทุกคนคงทราบดีว่าการทำธุรกรรมออนไลน์เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังกันพอสมควรเลย มีข่าวมากมายที่หลายๆ คนโดนแฮก Facebook และทำให้บัตรเครดิตที่ผูกไว้กับบัญชีโดนแฮกไปด้วย ทั้งข้อมูลส่วนตัว ชื่อที่อยู่ จำนวนเงินในบัตรก็ปลิวไปได้ง่ายๆเลย

เพราะฉะนั้นนักยิงแอดหลายคนจึงหันมาใช้บัตร Virtual Card ที่มีความปลอดภัยมากกว่า และ Virtual Card ยังสามารถจำกัดวงเงินในบัตรได้ด้วยนะ (ฟีเจอร์เหมือนบัตรเครดิตเป๊ะ)

ทำให้เราคลายความกังวลได้ในระดับหนึ่งว่าเงินที่เราเติมใส่ Virtual Card และจำกัดวงเงินไว้ให้เมื่อถูกแฮกไปจะไม่ได้รับผลกระทบที่ร้ายแรง รวมถึงการกินเงินเกินวงเงินที่กำหนดเอาไว้ของ Facebook ก็ไม่มีปัญหาด้วย

แนะนำบัตร Virtual Card สำหรับยิงแอด Facebook

สำหรับบัตร Virtual Card ในปัจจุบันนี้ก็มีอยู่หลากหลายค่าย ซึ่งแต่ละค่ายก็มีเงื่อนไข รายละเอียดและสิทธิพิเศษต่างๆ ไม่เหมือนกัน วันนี้แอดมินจะมาแนะนำ บัตร Virtual Card ว่ามีค่ายไหนบ้างที่สามารถนำมาจ่ายค่ายิงแอดเฟสบุ๊ค

เรามาเริ่มต้นกับด้วยที่หลายๆคนน่าจะรู้จักกันเป็นอยากดีก็คือ LINE นั่นเองค่ะ ตอนนี้เขา ได้ออกบัตร Line BK (Line X Kasikorn) ส่วนทางธนาคารกสิกรเองเขาก็มี K-Web Shopping Card ออกมาให้เลือกได้ตามสะดวก รวมถึงยังมีค่ายของ True Money Wallet, Dolfin Wallet และ SCB Virtual Prepaid

หากใครสนใจพวกบัตรVirtual Card อาจจะต้องมีการหาข้อมูลเพิ่มเติมนิดนึง เพราะแต่ละเจ้าก็มีเงื่อนไขรวมถึงข้อจำกัดที่แตกต่างกันไปด้วยนั่นเอง

สรุป

Virtual Card บัตรเครดิตเสมือน ถือว่าเป็นบัตรที่มีประโยชน์และเหมาะสำหรับนักยิงแอดเฟสบุ๊คมากๆ เลย  โดยที่หลายๆ คนไม่ต้องกังวลเรื่องเกี่ยวกับการผูกบัตรเครดิตแล้วไม่ผ่านหรือไม่ก็โดนแบนบ่อยเพราะใช้บัตรเดิมซ้ำมากเกินไป

รวมถึงระบบ Facebook ไม่สามารถตัดเงินได้ทำให้ถูกแบนไปก็มี แต่เมื่อสามารถนำบัตร Virtual Card มาใช้ได้ไม่ต้องนั่งกังวลเกี่ยวกับการชำระเงินและยังสามารถจำกัดวงเงินได้อีกด้วย ซึ่งบัตร Virtual Card ก็มีหลายเจ้าเลยในตลาด เพื่อนๆ ก็สามารถลองเข้าไปเลือกตามความเหมาะสมของแต่คนกันดูนะคะ


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
รวบรัดแบบเข้าใจง่ายกับ PDPA กฎหมาย พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

รวบรัดแบบเข้าใจง่ายกับ PDPA กฎหมาย พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

ในโลกออนไลน์เราจะเห็นได้ว่าข้อมูลของเราจะเชื่อมต่อกับธุรกิจต่างๆ มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบนแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์เจ้าต่างๆ รวมถึงธนาคาร เพราะเป็นพื้นฐานที่ธุรกิจต้องการทราบข้อมูลรวมถึงการนำข้อมูลของคุณไปเก็บวิเคราะห์เพื่อมาทำการตลาดต่อไป โดยเฉพาะการใช้ระบบ AI มาช่วยวิเคราะห์จำแนกข้อมูลเพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจสามารถทำการตลาดหรือนำเสนอผลิตภัณฑ์ได้ถูกใจคุณมากยิ่งขึ้น แต่ด้วยกฎหมายใหม่อย่าง PDPA หรือกฎหมายที่ว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลความเป็นส่วนตัวและป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทในบ้านเราประกาศใช้วันที่ 1 มิถุนายน 2565 นี้ จะมีสลักสำคัญอะไรบ้าง และคุณควรรู้อะไร คลิปนี้เราจะมาเล่าให้ฟัง บอกเลยว่าธุรกิจหรือแม้แต่คนขายของออนไลน์ทั่วไปก็ควรรู้ไว้เช่นกัน

รวบรัดแบบเข้าใจง่ายกับ PDPA กฎหมาย พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (กดเลือกอ่านได้)

PDPA คืออะไร

ในตัวกฎหมาย PDPA ย่อมาจาก Personal Data Protection Act ซึ่งถอดแบบออกมาจากกฎหมาย GDPA ของสหภาพยุโรปและเขตเศรษฐกิจ EU เป็นการป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล โดยในต่างประเทศถือว่าเป็นเรื่องที่อ่อนไหวอย่างมากเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล

โดยกฎหมายดังกล่าวจะเป็นการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลด้านต่างๆ อาทิเช่น ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ บัญชีธนาคาร อีเมล และประวัติอื่นๆ รวมถึงข้อมูลที่สามารถระบุถึงเจ้าของข้อมูลเหล่านี้ได้ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้เจาะจงเฉพาะข้อมูลแบบเอกสารเท่านั้น รวมถึงในเว็บไซต์และในรูปแบบออนไลน์อื่นๆ อีกด้วย เพื่อไม่ให้ข้อมูลของเราถูกเปิดเผยและถูกซื้อขายกันได้ง่ายๆ

ทำไมต้องมีกฎหมาย PDPA

สาเหตุที่ทำให้เกิดกฎหมายดังกล่าวขึ้นมาก็เพื่อส่งเสริมทางด้านการค้าระหว่างประเทศให้เป็นไปตามสากลมากยิ่งขึ้น หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวเวลาประเทศของเราซื้อขายก็อาจจะถูกประเทศอื่นตั้งกำแพงภาษีได้ นอกจากนี้กฎหมายดังกล่าวก็เริ่มจะมีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยนั้นก็ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งเป็นสิทธิ์พื้นฐานอีกด้วย

ในตัวกฎหมายนี้หลายคนอาจจะคุ้นเคยเวลาเข้าใช้งานเว็บไซต์ที่เมื่อเข้าไปแล้วปุ๊บจะมีการให้กดยอมรับในเรื่องต่างๆ หรือเวลาสมัครอะไรก็แล้วแต่รวมถึงการสมัครงานเองก็มักจะมีการขอเก็บข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยข้อมูล และการนำไปใช้ในเชิงการตลาดก็มี ซึ่งเรื่องเหล่านี้เองจะเข้ามาเป็นหนึ่งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย PDPA ด้วย

PDPA จะถูกเริ่มใช้เมื่อไหร่

จากเดิมกฎหมาย PDPA จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2563 แต่ได้มีการเลื่อนมาถึง 2 ปีจนจะเริ่มใช้ในวันที่ 1 มิถุนายน 2565 นี้ โดยเนื้อหาของกฎหมายที่เราจะสรุปให้คร่าวๆ มีดังนี้

ในด้านของธุรกิจจำเป็นจะต้องมีการขออนุญาตเจ้าของเป็นรายบุคคลทุกครั้งเมื่อมีการเก็บข้อมูล โดยที่เจ้าของข้อมูลสามารถอนุญาตหรือไม่อนุญาตก็ได้ และเจ้าของข้อมูลสามารถขอให้แก้ไข เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือแม้กระทั่งการขอสำเนาข้อมูล รวมถึงธุรกิจต้องนำไปใช้ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ได้ระบุไว้ด้วย เช่น หากระบุว่าข้อมูลที่เก็บไปต้องการเอาไปใช้ทำการตลาด ข้อมูลนั้นก็ต้องเอาไปทำการตลาดจริงๆ ไม่ใช่เอาไปขายต่อหรือเอาไปเปิดเผยต่อบุคคลอื่นๆ

นอกจากนี้องค์กรหรือธุรกิจที่มีการเก็บข้อมูลรวบรวมเอาไว้จำเป็นต้องมีการรักษาความปลอดภัยและบริหารข้อมูลอย่างเหมาะสม ในประเทศไทยเองผู้คนรวมถึงในภาคธุรกิจส่วนใหญ่ยังไม่ได้ตระหนักถึงส่วนนี้มากเท่าไหร่ จึงต้องมีการให้ความรู้ด้านนี้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงตัวกฎหมายเองก็มีความรุนแรงอย่างยิ่ง โดยมีการลงโทษทางอาญาจำคุกสูงสุด 1 ปี ปรับสูงสุด 5 ล้านบาท แต่ด้วยกฎหมายที่ดูรุนแรงจนเกินไป ทางคณะกรรมการปกครองกำลังมีการตั้งโทษกำหนดจากเบาไปจนถึงหนัก เพราะหากปรับตามกฎหมายข้างต้นคงดูไม่เป็นธรรมแน่ๆ

หากใครต้องการอ่านตัวกฎหมายเพิ่มเติมได้ที่ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ปรับตัวให้เข้ากับกฎหมายเกี่ยวกับ PDPA

ในภาคธุรกิจหรือแม้กระทั่งคนขายของออนไลน์ที่มีเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มเป็นของตัวเองก็จำเป็นจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย PDPA ด้วยเช่นกัน เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับ ส่วนการเตรียมตัวก็จะมีดังนี้

ทำ Privacy Policy

ตัวนี้จะเป็นตัวที่บ่งบอกว่าเราจะมีการเก็บข้อมูลอะไรบ้าง เพื่อเป็นการขออนุญาตจากผู้ใช้งานและได้รับการยินยอมจากผู้ใช้งาน โดยต้องมีการแจกแจงอย่างละเอียดเช่น การเก็บข้อมูลเพื่อนำไปทำการตลาด รวมถึงวัตถุประสงค์การเก็บข้อมูลก็ต้องชี้แจงด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ต้องมีการเก็บข้อมูลให้ปลอดภัยอีกด้วย

ข้อมูลต้องมีความชัดเจน

ในการชี้แจงให้กับผู้ใช้งานจำเป็นจะต้องมีความชัดเจนว่าเราต้องการเก็บข้อมูลอะไรบ้าง เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าใจและรู้ว่าเราต้องการเก็บข้อมูลส่วนไหนของผู้ใช้งาน นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังมีสิทธิ์ในการปฏิเสธการให้ข้อมูลได้อีกด้วย

เก็บข้อมูลให้เป็นไปตามมาตรฐาน

ตัวกฎหมาย PDPA มีเรื่องกฎหมายการเก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้งานด้วย เพราะหากไม่สามารถเก็บข้อมูลได้เป็นไปตามมาตรฐานหรือรักษาให้ดีแล้วก็อาจจะเกิดข้อมูลรั่วไหลและนำไปสู่การเกิดอาชญากรรมทางด้านข้อมูลส่วนบุคคลได้

สรุป

สำหรับตัว PDPA เองบางคนอาจจะมองว่าถ้าไม่ถึงระดับที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองอาจจะไม่มีผลกระทบอะไร แต่ความเป็นจริงแล้วหากเราขายของออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ จะเริ่มมีการปกปิดข้อมูลเป็นความลับมากยิ่งขึ้น รวมถึงเรื่องการนำข้อมูลไปใช้อาจจะต้องมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น

รวมถึงในระดับบริษัทเองคุณอาจจะต้องมีการชี้แจงถึงเรื่องการเก็บข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ผู้เข้าใช้งานเข้าใจและสามารถไว้วางใจได้ รวมถึงเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดด้วย เมื่อ PDPA ออกมาเต็มรูปแบบเมื่อไหร่อาจจะไม่ทันการ ดังนั้นใครที่ยังไม่เตรียมตัวในกลุ่มของธุรกิจรวมถึงพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่มีแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง อย่าลืมที่จะปฏิบัติตามกฎหมายด้วยนะคะ

ข้อมูลอ้างอิงจาก

Krungsri, Matichon


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
เมื่อสองแบรนด์ดัง BMW x Louis Vuitton จับมือกันทำกลยุทธ์ Co-branding มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด

เมื่อสองแบรนด์ดัง BMW x Louis Vuitton จับมือกันทำกลยุทธ์ Co-branding มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

แอดมินเชื่อว่าหลายๆคนคงจะเคยได้ยินสำนวนไทยที่ว่า “สองหัวดีกว่าหัวเดียว” กันมาตั้งแต่เด็กแล้วนะคะ แต่หารู้ไม่…สำนวนไทยที่เราได้ยินกันมาบ่อยๆ เนี่ย สามารถประยุกต์ใช้กับการทำธุรกิจได้ขนาดที่ว่าสามารถสร้างยอดขายถล่มทลายให้กับหลายแบรนด์ดังกันไปยกใหญ่เลยทีเดียว จะเห็นได้จากการทำ Co-branding ของ BMW x Louis Vuitton, Gucci X Disney, Supreme x Louis Vuitton หรือแม้แต่ Gucci x Doremon ก็ยังมีนะ

Co-branding ไม่เพียงแต่จะแพร่หลายในแบรนด์ต่างประเทศเท่านั้น แบรนด์ไทยของพวกเราก็ไม่ยอมน้อยหน้าใครเหมือนกัน เรียกได้ว่าทำ Co-branding กันแบบจัดหนักจัดเต็มมาก ว่าแต่…เจ้าตัว Co-branding ที่แอดมินพูดถึงว่ามันดีนักดีหนาเนี่ย มันคืออะไรกันแน่ มีอะไรพิเศษภายใต้กลยุทธ์ลักษณะนี้ แอดมินจะมาเล่าให้ฟังค่า ตามกันมาเลย

ไขข้อสงสัย Brand และ Branding คืออะไร เข้าใจง่ายภายใน 1 นาที

ก่อนที่แอดมินจะพาทุกคนไปท่องโลกธุรกิจและการตลาดสไตล์ Co-branding แอดมินอยากจะให้ทุกคนได้ทำความรู้กันกับคำว่า Brand กันให้มากขึ้นก่อนนะคะ ถ้าอธิบายแบบให้เข้าใจง่ายๆเลย ให้ทุกคนมองว่า Brand เปรียบเสมือนคนหนึ่งคนที่สามารถพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยได้

ส่วน Brand เป็นเหมือนภาพจำโดยรวมของสินค้าและบริการ ยกตัวอย่าง เช่น นาย Apple เป็นคนที่น้อยแต่มาก เรียบง่ายแต่ดูมีสไตล์ที่ทันสมัย ใช้ของที่มีนวัตกรรมใหม่อยู่ตลอดเวลา ข้อควรระวังของ Brand อีกอย่างหนึ่งเลยก็คือ Brand เป็นสิ่งที่คนอื่นมองมาที่เรา ไม่ใช่เรานิยามตัวเราเอง ส่วนคำว่า Branding ก็คือกระบวนการสร้างแบรนด์นั่นเองค่ะ

กลยุทธ์ทางการตลาดสไตล์ Co-Branding คืออะไร

มาถึงพระเอกของงานกันแล้วค่ะทุกคน!  Co-Branding จากชื่อก็น่าจะพอเดากันออกเนอะ ว่ามันคือกลยุทธ์ทางการตลาดที่รวมเอาแบรนด์มากกว่า 2 แบรนด์ขึ้นไป มาร่วมมือกันทางธุรกิจและแมตท์ตัว Product หรือบริการเข้าด้วยกันจนกลายเป็นสินค้าใหม่หรือบริการใหม่ๆ ออกมา เราจะเรียกการทำแบบนี้ว่า “Co-Branding” ไม่ใช่แค่นำชื่อของทั้งสองแบรนด์มาติดบนสินค้าและบริการนะ

แต่คือการรวมกันของสองแบรนด์เพื่อสร้างสรรค์สินค้าและบริการตัวใหม่ ที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นแบรนด์ของทั้งสองแบรนด์ไว้อยู่  การทำ Co-branding สามารถเป็นได้ทั้งแบรนด์จากอุตสาหกรรมเดียวกันหรือต่างกัน แบรนด์ระดับเดียวกันหรือต่างกัน แม้กระทั่งแบรนด์ที่เป็นคู่แข่งทางการค้ากันก็ยังใช้กลยุทธ์นี้เหมือนกัน ทำให้เกิดความสนุก ความสร้างสรรค์และบางครั้งทำให้เกิดความแปลกใหม่ในวงการธุรกิจได้เลย

ในบ้านเราเองก็มีการ Co-Branding กันอยู่เหมือนกันอาทิเช่น

  • SCG x บุญถาวร
  • Sansiri x ขายหัวเราะ
  • Sansiri x Bar B Q Plaza
  • Gulico x เถ้าแก่น้อย

ทำไมแบรนด์ดังระดับโลกถึงนิยมทำ Co-Branding กัน  

การทำ Co-Branding จะช่วยให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าได้กว้างขวางมากขึ้น รวมถึงสามารถเพิ่มศักยภาพและองค์ความรู้ใหม่ๆของพนักงานได้ดี ทั้งสองแบรนด์ที่มาร่วมมือกัน สามารถเรียนรู้ธุรกิจของแต่บริษัท เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้นไปอีก นอกจากนั้นการทำ Co-branding ยังเป็นอีกวิธีในการลดต้นทุนได้อย่างดีเลยล่ะ เพราะทั้งสองแบรนด์สามารถแชร์ค่าการตลาด ค่าโฆษณา ค่ากระบวนการผลิตต่างๆกันได้ ซึ่งบริษัทสามารถนำส่วนต่างไปพัฒนาธุรกิจในด้านอื่นๆได้

 เจาะลึกตัวอย่าง Co-Branding ในไทย

กลับมาที่ประเทศไทยกันดีกว่า มีตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมากที่แอดมินอยากมาเล่าสู่กันฟังให้ทุกคนค่ะ คือการทำ Co-branding  ระหว่าง เอสซีจี x บุญถาวร นั่นเอง ปกติแล้วเราจะเห็นแต่แบรนด์ต่างขั้วกันมา Collab

กันเนอะ  แต่กรณีศึกษานี้น่าสนใจมากๆ เพราะเป็นการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์คู่แข่งกัน มาช่วยกันสร้างยอดขาย สร้างฐานลูกค้าให้แข็งแกร่งขึ้น  บริษัทบุญถาวร เขามีความเชี่ยวชาญทางด้าน วัสดุของตกแต่งบ้านทั้งภายนอกและภายใน ไม่ว่าจะเป็นกระเบื้อง ก๊อกน้ำ เก้าอี้ หรือแม่แต่หลอดไฟ

ส่วนเอซีจีก็จะมีความเชี่ยวชาญทางด้านวัสดุก่อสร้าง ด้วยโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความต้องการของลูกค้าก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน  ทั้งสองแบรนด์ จึงปิ้งไอเดียขึ้นมา ว่าจะตั้งบริษัทใหม่ที่มีสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ายุคใหม่ เรื่องสินค้าตกแต่งบ้านที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีสไลต์ให้เลือกหลากหลาย พร้อมกับบริการช่างติดตั้งที่มีความเป็นมืออาชีพ เรียกได้ว่าการรวมกันของเอสซีจีและบุญถาวรเป็น One Stop Service ครบจบเลยค่ะ

สรุป

แอดมินหวังว่าหลายๆ คน คงจะได้ความรู้ไปไม่มากก็น้อย เกี่ยวกับเรื่องการทำ Co-branding นะคะ กลยุทธ์ทางการตลาดนี้ถือเป็นไอเดียที่น่าสนใจเลย สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการจะสร้างยอดขายหรือเพิ่มฐานลูกค้า แต่อย่างไรก็ตาม การที่เลือกตัดสินใจลงทุนธุรกิจกับแบรนด์ไหนแอดก็อยากแนะนำว่าให้ศึกษาข้อมูลธุรกิจของกันและกันให้ดีก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงผลเสียที่จะตามมาได้นะคะ


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
Shopping cart0
There are no products in the cart!
Continue shopping