ความลับของ Dark Web แค่เข้าไปแป๊บเดียวก็ซวยได้แล้ว !!

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

การใช้งานอินเทอร์เน็ตในทุกวันนี้เป็นเรื่องปกติของทุกๆ คนไปแล้ว ซึ่งอย่างน้อยในหนึ่งวันก็ต้องมีการใช้งาน 1 ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูล หาสิ่งบันเทิงใจ การใช้งานโซเชียลมีเดีย เรื่องเหล่านี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติอย่างมาก

ทั่วไปแล้วเวลาเราต้องการค้นหาข้อมูลอะไรบนโลกออนไลน์ก็ตาม ที่ๆ คนทั่วโลกนิยมเข้าไปค้นหามากที่สุดก็คือ “Google” อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะเค้าเป็นผู้ให้บริการด้าน Search Engine ที่จะรวบรวมเว็บไซต์ต่างๆ ของทั่วโลกเอาไว้และเมื่อเราค้นหาเรื่องราวใดๆ ก็ตามก็จะแสดงผลลัพธ์ออกมาให้เราเข้าไปเลือกชม

แต่รู้หรือสิ่งที่เราเห็นบน Google เรามองว่าข้อมูลเยอะสุดๆ แล้ว แต่ความจริงยังมีเบื้องหลังเว็บที่ค้นหาไม่เจออีกเพียบ มากกว่าสิ่งที่เราค้นเจอซะอีก โดยเว็บพวกนี้เราจะเรียกว่า Dark Web หรือ Deep Web แล้วทำไมต้องห้ามเข้ากันล่ะ ? 

Deep Web คืออะไร 

ตัว Deep Web ก็คือเว็บที่ยังไม่ได้ถูกรวบรวมดัชชีหรือเก็บข้อมูลแล้วส่งให้กับ Search Engine ของผู้ให้บริการเจ้าต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม Deep Web ส่วนมากก็ถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้วเช่น หน้าสมาชิกของเว็บไซต์ต่างๆ การเข้าถึง Google Drive หรือแม้กระทั่งการเข้าไปดูหนังของ Disney Hotstar หรือ Netflix สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็น Deep Web ทั้งสิ้น

ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือเหล่า Deep Web รวมถึงเว็บไซต์ต่างๆ ที่แสดงในผลของการค้นหาหากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากเว็บที่มีทั้งหมดจริงๆ แล้วมันมีเพียงแค่ราวๆ 4 – 5% เท่านั้น ส่วนที่เหลืออยู่จะเป็น Dark Web ทั้งหมด

แล้ว Dark Web คืออะไร ?

Dark Web เกือบทั้งหมดของมัน 100% นั้นเป็นเว็บที่ผิดกฎหมาย ไม่สามารถเปิดเผย แสดงให้คนทั่วไปได้เห็นได้ ไม่สามารถค้นหาผ่าน Browser ปกติที่เราใช้งานอย่าง Chrome Microsoft Edge หรือเบราว์เซอร์อื่นๆ ได้ โดยมักจะต้องใช้เบราว์เซอร์พิเศษอย่าง TOR (The Onion Router) เข้าเท่านั้น

มันจะช่วยปกปิดตัวตนของผู้ที่เข้าไปท่องบน Dark Web ไม่ให้หน่วยงานต่างๆ รวมถึงรัฐบาลสามารถเข้ามาสอดส่องหรือตรวจสอบได้อย่างง่ายเหมือนกับเว็บอื่นๆ และด้วยการที่ตรวจสอบยากอย่างมากของมันทำให้มันกลายเป็นแหล่งรวมอาชญากรรมต่างๆ มากมายหลากหลายรูปแบบที่คุณอาจคาดไม่ถึง

Dark Web

รูปจาก GeeksforGeeks

นอกจากนี้บน Dark Web ยังเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย และเตือนว่าไม่ควรเข้าไปเป็นอย่างยิ่ง ที่บนนั้นมีผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์อย่างมากมาย มีการวางไวรัส ตัวดักข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ของเรา และยังแฝงไปด้วยแฮกเกอร์ตัวฉกาจมากมายที่อยู่บนนั้นพร้อมจะทำอันตรายกับคุณได้ทุกเมื่อ

บางครั้งคนที่เข้าไปเผลอกระทำใดๆ บน Dark Web แม้แต่นิดเดียวก็อาจจะทำให้ข้อมูลหลุดจนนำไปสู่การเอาข้อมูลไปก่ออาชญากรรมแบบคาดไม่ถึงได้ ทำให้ไม่ควรเข้าไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาด

เนื้อหาบน Dark Web มีอย่างหลากหลายตั้งแต่เรื่องค้ายาเสพติดไปจนถึงกิจกรรมที่ไม่สามารถเล่าออกมาได้ จากผู้ที่เคยเข้าไปบน Dark Web ต่างก็ตกตะลึงและสร้างความหวั่นใจให้กับผู้คนที่เข้าไปดูอย่างถึงที่สุด

แต่สิ่งที่มีบน Dark Web จากคนที่เคยเข้าไปและเอามาแชร์ รวมถึงข้อมูลจากรัฐบาลประเทศต่างๆ ที่มีการจับตาดูพวกเว็บไซต์เหล่านี้ก็ได้เปิดเผยข้อมูลว่าบนนั้นจะมีทั้งคอนเทนต์ 

บน Dark Web มีอะไรอยู่ ?

ตลาดที่รวมสิ่งผิดกฎหมาย โดย Dark Web มักจะเป็นแหล่งรวมสินค้าหรือของที่ผิดกฎหมายซึ่งผู้ใช้สามารถซื้อและขายสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายได้หลากหลาย ซึ่งอาจรวมถึงยาเสพติด อาวุธปืน เอกสารปลอม ข้อมูลที่ถูกขโมย (เช่น ข้อมูลบัตรเครดิต) เครื่องมือแฮ็ก และอื่นๆ

สินค้าที่ขายบน Dark Web รูปจาก ABC News

การแฮ็กและอาชญากรรมไซเบอร์ เว็บไซต์ Dark Web บางแห่งรองรับแฮกเกอร์และอาชญากรไซเบอร์ พวกเขาอาจเสนอบทช่วยสอน เครื่องมือ และบริการที่เกี่ยวข้องกับการแฮ็ก การขโมยข้อมูลประจำตัว หรือกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอื่นๆ

เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวทางเพศ แม้ว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมคอนเทนต์ผู้ใหญ่แต่เราก็ยังสามารถค้นหากันได้เจอตามปกติ แต่อย่างไรก็ตามเนื้อหาของผู้ใหญ่บน Dark Web แตกต่างจากที่เราพบ เพราะนั่นอาจจะเป็นการถ่ายโดยที่ไม่เต็มใจ หรือแม้กระทั่งมีการก่ออาชญากรรมหลังคลิปจบก็ได้

หนังโหดสุดจิตตก เรื่องหนังหลายคนก็อาจจะมองว่าเป็นธรรมดาที่จะมี แต่สำหรับบน Dark Web แล้วมันเป็นหนังที่แตกต่างกับที่เรารู้จักก็เพราะหนังที่เราดูเป็นประจำก็ใช้ CG ในการถ่ายทำ ฉากต่างๆ ที่เกี่ยวกับการก่ออาชญากรรมก็เป็นเพียงฉากเท่านั้น แต่สำหรับบน Dark Web แล้วเนื้อหาที่พวกเค้าทำส่วนมากจะเป็น สนัฟฟิล์ม (Snuff flim) ที่ก่ออาชญากรรมจริงๆ เล่นจริง เจ็บจริง ทุกอย่างจริงหมด และเต็มไปด้วยเรื่องราวสุดจิตตกมากมายอีกด้วย

การจ้างวานทำสิ่งต่างๆ บน Dark Web มีบริการอย่างหลากหลายรูปแบบ ส่วนมากการจ้างวานนั้นจะเต็มไปด้วยเรื่องที่ผิดกฎหมาย

บอร์ดการพูดคุย มีฟอรัมและชุมชนต่างๆ ใน ​​Dark Web ที่หารือในหัวข้อต่างๆ มากมาย ตั้งแต่การแฮ็กและเทคโนโลยีไปจนถึงการเมืองและทฤษฎีสมคบคิด

นอกจากนี้ด้วยความที่ Dark Web จะเป็นที่หลบซ่อนของหลายคน และไม่สามารถระบุตัวตนของผู้ใช้งานได้ นอกจากจะเป็นแหล่งรวมตัวผู้ที่ทำผิดกฎหมายแล้ว บนนั้นก็ยังเต็มไปด้วยตำรวจไซเบอร์จากประเทศต่างๆ ที่ตามสืบสวนเรื่องราวต่างๆ บนนั้นด้วยเช่นกัน

ในบ้านเราเองก็เคยมีเรื่องราวโด่งดังเมื่อปี 2560 ที่ตำรวจในไทยได้จับนาย นายอเล็กซานเดอร์ แคส ชาวแคนาดา เจ้าของเว็บไซต์ Alphabay ที่เป็นเว็บไซต์แบบ Dark Web ใช้ในการค้ายาและทำสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ โดยเค้าได้มาอาศัยอยู่ในไทยมาราวๆ 7 – 8 ปีแล้ว และได้มีการร่วมมือกับตำรวจมากถึง 6 ประเทศในการเข้าจับกุมครั้งนี้

จับกุมเจ้าของคอม Blue Pearl

ตำรวจไทยจับนายอเล็กซานเดอร์ เจ้าของดาร์กเว็บ Alphabet รูปจาก Thairath

โดยเว็บ Alphabay ก็เป็นหนึ่งในเว็บไซต์ Dark Web ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาแทนที่ Silkroad ที่ถูกทลายไปแล้วก่อนหน้านี้ ในการซื้อขายก็จะใช้สกุลเงิน Digital เป็นหลักในการแลกเปลี่ยนกัน หากเพื่อนๆ ได้ยินข่าวนี้แล้วยังไม่เก็ท แต่สาย IT ที่ติดตามข่าวเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์น่าจะรู้จักโครงการ “Blue Pearl” คอมประกอบที่แรงที่สุดในโลกที่ได้โพสต์ลงเว็บ Pantip ช่วงนั้นเกิดกระแสอย่างมากมายเลยทีเดียว แต่ภายหลังที่ถูกจับกุมไปแล้ว เค้าก็ได้ผูกคอเสียชีวิตในห้องขัง

เว็บ Alphabet รูปจาก Wikipedia

สุดท้าย เรื่องราวของ Dark Web ทางเราก็ไม่สนับสนุนให้ทุกคนไปลอง เพราะเต็มไปด้วยอันตรายเรื่องราวชวนหดหู่มากมายเต็มไปหมด เอาเป็นว่าฟังจากที่แอดเล่าก็เพียงพอแล้ว ถ้าเผลอเข้าไปโดยที่เราไม่รู้เรื่อง แทนที่เราจะได้เปิดหูเปิดตาแต่อาจจะได้คดีความกลับมาแทนก็เป็นได้ 


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
PSTNET ผู้ให้บริการบัตรเครดิตเสมือนดีที่สุดในปี 2023

PSTNET ผู้ให้บริการบัตรเครดิตเสมือนดีที่สุดในปี 2023

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

เนื่องจากการทำธุรกรรมออนไลน์ยังคงเป็นที่นิยมและครอบคลุมไปทั่วโลกสำหรับยุคปัจจุบัน การใช้บัตรเสมือนหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “Virtual Card” ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ บัตรเสมือนตัวนี้จะให้คุณสมบัติและความสะดวกสบายเหมือนกับ “บัตรเครดิต” ที่ใช้ในปัจจุบัน

แต่จะมีการเพิ่มคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่ปกป้องผู้ถือบัตรจากการฉ้อโกงและการใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ตัวบัตรเสมือนยังมีฟังก์ชันการใช้งานที่เหมือนกับบัตรเครดิตและใช้งานแทนบัตรเครดิตได้สมบูรณ์ 100%

ไม่ว่าจะเป็นการทำโฆษณาดิจิทัล การซื้อสื่อออนไลน์ต่างๆ การทำการตลาดแบบ Affiliate Marketing ก็ทำได้เช่นกัน ในด้านการจัดการบัตรเราก็ทำผ่านออนไลน์ได้ทั้งหมด

PSTNET คืออะไร ?

เรามาทำความรู้จักกับ “PSTNET” ที่เป็นผู้ให้บริการด้านบัตรเครดิตเสมือน ติดหนึ่งในผู้ให้บริการที่ดีที่สุดประจำปี 2566 ในด้านของ PSTNET มีบริการบัตรเครดิตชำระเงินแบบ “พรีเมียม” และมีมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยแบบ 3D Secure ที่เป็นมาตรฐานหลักของอุตสาหกรรมบัตรเครดิต เพียงแค่คุณเติมเงินเข้าไปแค่ 1 ดอลล่าร์ก็สามารถเริ่มต้นใช้งานบัตร PSTNET ได้ทันที  นอกจากนี้ยังเติมเงินด้วยสกุลเงิน Cryptocurrency หรือจะโอนเงินผ่านธนาคารเข้าบัตรเพื่อชำระค่าโฆษณาต่างๆ การซื้อสินค้าหรือบริการจากทั่วโลกในสกุลเงินดอลล่าร์หรือยูโรก็ได้

บริการจาก PSTNET

นอกจากนี้ตัว VCC (บัตรเครดิตเสมือน) ของ PSTNET ก็ไม่จำกัดจำนวนบัตรที่ถือ รวมถึงการใช้จ่ายและเงินที่คงเหลืออยู่ในบัตร และไม่มีค่าธรรมเนียมใดๆ แอบแฝงกับการบริการดังกล่าว ทำให้บัตร PSTNET เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของผู้ให้บริการที่โดดเด่นอย่างมากหากในภาคธุรกิจหรือแม้กระทั่งระดับบุคคลต้องการบัตรไว้ใช้งานสำหรับการซื้อโฆษณาแพลตฟอร์มต่างๆ อาทิเช่น Facebook, Instagram, TikTok, Google Ads, Twitter หรือแม้กระทั่งแพลตฟอร์มอื่นๆ อย่าง Canva, Amazon, Ebay, Digital Ocean หรือผู้ให้บริการรายอื่นๆ ก็สามารถใช้บัตร PSTNET ในการชำระได้ทั้งหมดแม้สกุลเงินนั้นจะต้องการให้จ่ายเป็น Cryptocurrency ตัวบัตรเสมือน PSTNET ก็สามารถจ่ายให้ได้

นอกจากนี้บัตรเครดิตเสมือนของ PSTNET ก็ยังผูกเข้ากับ e – Wallet ของเจ้าต่างๆ ได้ด้วยเช่น Google Pay และ Apple Pay เพื่ออำนวยความสะดวกในการจ่ายเงินซื้อฟีเจอร์หรือแอพพลิเคชั่นเพิ่มเติมได้ด้วย

การสมัครบัตร PSTNET

โดยทั่วไปแล้วการเปิดบัตรเครดิตเสมือนรวมถึงการเปิดบัตรเครดิตจริงๆ ก็มักจะมีความยากและใช้เวลาพอสมควร บางบัตรก็มีความซับซ้อนไม่น้อยจนสร้างความสับสนให้กับผู้ใช้งาน

แต่ถ้าคุณใช้งาน PSTNET จะหมดปัญหาดังกล่าวข้างต้นในทันที เพราะขั้นตอนการลงทะเบียนก็มีความสะดวกสบายง่ายดายเพียงไม่กี่คลิก เพียงคุณลงทะเบียนด้วยบัญชี Google Telegram หรือสร้างข้อมูลสำหรับการเข้าสู่ระบบและไม่จำเป็นต้องเตรียมเอกสารใดๆ ทั้งสิ้น

แต่จะถูกจำกัดวงเงินไว้ในบัตรไม่เกิน 500 ดอลล่าร์เท่านั้น สำหรับคนที่ต้องการใช้งานมากกว่านี้ก็อาจจะต้องยืนยันตัวตนเพิ่มเติม แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้มีความซับซ้อนไม่เกิน 2 – 3 ขั้นตอนในการดำเนินการเท่านั้น และไม่ใช้เวลานาน

สิทธิพิเศษเพิ่มเติมบัตร PSTNET

นอกจากนี้บัตร PSTNET ยังมีสิทธิพิเศษสำหรับทีมหรือผู้ใช้งานที่มีการจ่ายเงินผ่านบัตรของ PSTNET ที่มีการใข้จ่ายต่อเดือนสูงกว่า 30,000 ดอลล่าร์ต่อเดือน คุณมีสิทธิที่จะได้สิทธิพิเศษทันที

เพียงแค่คุณแคปหน้าจอการใช้งานที่มากกว่า 30,000 ดอลล่าร์ต่อเดือน ก็รับไปเลยบัตรเครดิตเสมือนไว้สำหรับทดสอบจำนวน 100 ใบ แต่ละใบมีเงินให้ทดสอบฟรี 1 ดอลล่าร์ นอกจากนี้ยังยกเว้นค่าธรรมเนียมการเติมเงิน 2% อีกด้วย

สำหรับสิทธิพิเศษเหล่านี้จะเฉพาะผู้ที่ใช้โปรแกรม “PST Private” เท่านั้น และเป็นโปรแกรมที่ได้รับความนิยม รวมถึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดหากเปรียบเทียบกับกลุ่มบัตรเครดิตเสมือนในปี 2566 ด้วย

การเติมเงินให้กับบัตร PSTNET ก็มีความหลากหลาย สามารถเติมได้ด้วยสกุลเงิน USDT TRC-20 (Tether) และ Bitcoin แม้กระทั่งการโอนผ่านธนาคาร (SWIFT, SEPA) และบัตร VISA หรือ MasterCard ก็ได้เช่นกัน

และยังสามารถถอนเงินออกมาได้แต่ต้องมีเงินในบัตรเกิน 300 ดอลล่าร์ขึ้นไป จากเดิมที่ต้องมีถึง 500 ดอลล่าร์ แต่ก็ได้ลด Limit ในการถอนลงเพื่อความสะดวกในการใช้งาน

ด้วยบัตรเครดิตเสมือนจาก PSTNET ที่มีการเข้ารหัสและมีมาตรฐานความปลอดภัยเทียบเท่ากับบัตรเครดิตทั่วไปที่อออกแบบมาเฉพาะสำหรับการซื้อสื่อออนไลน์ต่างๆ

การทำการตลาดแบบ Affiliate และการทำธุรกรรมอื่นๆ ที่เชื่อถือได้ และสามารถเข้าถึงการจ่ายเงินจากบัญชีโฆษณาที่มีความเสี่ยงให้ซื้อโฆษณาได้โดยสะดวกมากยิ่งขึ้น

ฟีเจอร์เพิ่มเติมจาก PSTNET

นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์หรือเครื่องมือพิเศษจากทาง PSTNET ที่เรียกว่า BIN Checker ที่จะช่วยตรวจสอบข้อมูลในบัตรและธนาคารต่างๆ ทั้งหมด และจะแสดงสถิติแบบ Real – Time ในการใช้งานอีกด้วย

รวมถึงมีการเก็บสถิติและแสดงผลเกี่ยวกับเปอร์เซ็นต์ของธุรกรรมที่ได้รับอนุมัติหรือถูกปฏิเสธ การใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบัตร และเกณฑ์การเรียกเก็บเงิน

สำหรับในฝั่งของการใช้บัตรแบบองค์กรหรือแบบทีม ผู้ใช้บัตรดังกล่าวสามารถติดต่อฝ่ายสนับสนุนลูกค้าเพื่อปรับเปลี่ยนสถานะเป็นบัญชีหลักได้ โดยบัญชีหลักจะให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมอีกมากมาย

รวมถึงฟีเจอร์ในการจัดการด้านการใช้บัตรเครดิตเสมือน PSTNET กับพนักงานภายในองค์กรได้เช่น การเชิญ การระงับ และระดับบทบาท การกำหนดวงเงินใช้จ่าย การโอนบัตรและเงินระหว่างบัญชีภายในทีมทันที การเข้าถึงระบบร้องขอเติมเงิน

นอกจากนี้บัญชีหลักยังสามารถเข้าถถึงประวัติการทำธุรกรรมของภายในทีมทั้งหมดแบบละเอียด รวมถึงการสร้างประวัติการใช้งานและการดาวน์โหลดรายงานในรูปแบบ CSV. ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าบัญชีหลักนั้นจะมีเครื่องมือฟีเจอร์เฉพาะที่เหมาะสมกับระดับธุรกิจที่สุด

ส่วนขยายผ่าน Google Chrome เพิ่มความสะดวก

PSTNET สามารถใช้ผ่านส่วนขยายของ Google Chrome ได้เช่นกัน โดยจะเรียกว่า “Cardholder” โดยผู้ใช้จะต้องรับรหัสยืนยันผ่าน 3DS ได้โดยตรงผ่านเบราว์เซอร์จึงจะสามารถใช้งานได้ โดยจะตรวจสอบยอดเงินปัจจุบันและรายละเอียดของบัตรชำระเงินเสมือนของคุณจาก PSTNET และใส่รายละเอียดบัตรในช่องรายละเอียดการชำระเงินได้ในคลิกเดียว

สรุป

บัตร PSTNET เป็นบัตรที่มีความสะดวกและสามารถเชื่อถือได้ ใช้งานง่าย เหมาะกับคนที่ต้องทำโฆษณาทางการตลาดหรือจำเป็นจะต้องมีการชำระด้วยเงินตราต่างประเทศหรือจำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตเพื่อดำเนินการต่างๆ

ด้วยเงื่อนไขและสิทธิพิเศษมากมายจาก PSTNET ก็ทำให้ถูกยอมรับในระดับสากล และยังมีประเภทบัตรให้เลือกมากมาย รวมถึงมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่เป็นมาตรฐานสากลในด้านบัตรเครดิต มีระบบตรวจสอบคุณภาพอย่าง 3D Secure และระบบ BIN จาก PSTNET ที่ยกระดับการป้องกันข้อมูลให้มีความแน่นหนามากยิ่งขึ้น

และสามารถตรวจสอบทางการเงินบนแพลตฟอร์มโฆษณาต่างๆ ได้ทั้งหมด ด้วยฟีเจอร์และสิทธิพิเศษเหล่านี้ทำให้ PSTNET เป็นอีกหนึ่ง “บัตรเครดิตเสมือน PSTNET” เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการซื้อโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่างๆ หรือใช้สำหรับการทำการตลาดแบบ Affiliate Marketing ประจำปี 2566 ด้วย


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

5 กลยุทธ์ที่ใช่ ใช้สำหรับขายของออนไลน์ให้ปัง ใช้ได้ในปี 2023

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

ในการขายของออนไลน์ก็ไม่ใช่เพียงแค่ว่าเราโพสต์ไปแค่อย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังต้องมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง รวมถึงการวางแผนการดำเนินงานให้เหมาะสมเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่เราได้วางเอาไว้ และมันจะช่วยให้เราได้เห็นภาพของธุรกิจของเราได้ง่ายมากขึ้นด้วย และสำหรับการขายของออนไลน์ก็ควรที่จะมีกลยุทธ์ทางด้านการตลาดไว้ด้วยเหมือนกัน และเราจะใช้กลยุทธ์อะไรดี หลักๆ แอดจะแนะนำในด้านของออนไลน์ให้มากกว่านะ

1. กลยุทธ์การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Media Marketing)

โซเชียลมีเดียมีคนไทยเกือบจะทั้งประเทศที่มีการใช้งานโลกออนไลน์อยู่ หรือคิดเป็นกว่า 80% ที่มีบัญชีโซเชียลมีเดียของแพลตฟอร์มต่างๆ โดยเพื่อนๆ สามารถนำช่องทางที่เหมาะสมมาปรับการใข้งานให้สอดคล้องกับธุรกิจของเราได้ เช่น การใช้ Facebook เป็นสื่อกลางในการสื่อสารกับลูกค้า โดยคุณอาจจะต้องเน้นไปที่การทำวิดีโอแบบสั้นเป็นหลัก หรือไม่ก็โพสต์ที่เป็นแนว Storytelling เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้น

อีกวิธีก็คือการแชร์คอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์ต่างๆ ให้กับกลุ่มเป้าหมาย เพราะปัจจุบันคอนเทนต์ในด้านการขายแทบจะไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไปแล้ว คนที่เห็นส่วนใหญ่ก็มักจะเลื่อนหนีทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นการขายของ

2. กลยุทธ์การตลาดผ่านผู้มีอิทธิพลในโลกออนไลน์ (Influencer Marketing)

ในการใช้ผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์หรือที่เราจะคุ้นเคยในชื่อ Influencer นั้นปัจจุบันก็ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะบางท่านที่ขายของออนไลน์อาจจะมีงบประมาณอยู่ระดับหนึ่ง แต่ว่าไม่ค่อยเก่งเรื่องการทำโฆษณาหรือโปรโมทด้วยตัวเองก็สามารถจ้างเหล่า Influencer ที่เหมาะสมกับสินค้าของเราให้ช่วยในการโปรโมทได้ แถมช่วยเพิ่มยอดขายได้อีกมากเลยหากทำออกมาได้ดีพอ

นอกจากนี้การใช้เหล่า Influencer ในปัจจุบันก็ไม่ได้มีราคาแพงเหมือนกับเมื่อสมัยก่อน หากคุณมีงบอยู่ในหลักพันก็สามารถเลือกได้แล้ว ทั้งนี้ต้องเลือกและใช้วิธีการสื่อสารที่เหมาะสมด้วยนะ ถึงจะเห็นผลลัพธ์ได้

3. กลยุทธ์การทำการตลาดแบบแนะนำ (Affiliate Marketing)

ไม่ว่าจะแพลตฟอร์มไหนๆ ที่มีฟีเจอร์สำหรับการขายของโดยเฉพาะ ก็มักจะมีเรื่องของ Affiliate Marketing เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเหมือนกัน รวมถึงแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์อย่าง Shopee Lazada เองก็ด้วย ก็มีระบบนี้ด้วยเช่นกัน โดยจะเป็นการที่เรานำลิงค์ให้ผู้ที่มีโซเชียลมีเดียนำไปโพสต์ในช่องทางของตัวเอง และเมื่อเกิดการซื้อสินค้าผ่านลิงค์นั้น คนที่เอาลิงค์ไปก็จะได้รับเงินเป็นค่าคอมมิชชั่นตามที่เราได้กำหนด ถือว่าวิธีนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะกับใน TikTok Shop

4. กลยุทธ์การตลาดด้าน Search Engine (SEO Marketing)

ลูกค้าส่วนมากเวลาจะซื้อสินค้าอะไรก็ตาม มักจะมีการค้นหารายละเอียดหรือข้อมูลก่อนเสมอ ซึ่งสิ่งที่เราพอจะทำได้ก็คือการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของเราหรือสินค้าของเราเข้าไปติดอันดับในการค้นหาและมีโอกาสที่ลูกค้าจะเห็นสินค้าของเราเป็นอันดับต้นๆ ก่อน วิธีนี้ถือว่าใช้เงินน้อยมาก แต่ก็ต้องแลกกับการใช้เวลาที่มากพอสมควร รวมถึงมีความยากอีกด้วย

5. กลยุทธ์การตลาดเกี่ยวกับวิดีโอ (Video Marketing)

ปัจจุบันเกือบทุกแพลตฟอร์มแทบจะให้ความสำคัญกับตัววิดีโอเกือบ 100% กันเลย รวมถึงการรับชมวิดีโอก็มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย โดยเฉพาะวิดีโอแบบสั้นที่มีความยาวไม่เกิน 60 วินาทียิ่งได้รับความนิยมสุดๆ หากคุณยังไม่เคยลองโพสต์คอนเทนต์ประเภทวิดีโอ แนะนำว่าให้ไปลองใช้งานดูเลยมันเวิร์คแบบสุดๆ

สรุป

ในอนาคตรูปแบบการทำการตลาดออนไลน์อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น เพื่อนๆ สามารถเอาวิธีเหล่านี้ประยุกต์ใช้และดัดแปลงให้เข้ากับลูกค้าได้ แนะนำว่าถ้าเป้นไปได้ให้ทำครบทุกตัวจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด รวมถึงติดตามผลลัพธ์การทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อนำไปปรับปรุงเช่นกัน


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

เข้า Facebook 2 บัญชีพร้อมกันในเครื่องเดียวทำยังไง ?

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ส่วนมากแล้วมักจะไม่ได้มีบัญชี Facebook เพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น แต่น่าจะมีเกิน 2 ตัวขึ้นไปเพื่อแยกสำหรับการขายของหรือสำหรับใช้ส่วนตัว บางทีเองแม้กระทั่งเพื่อนๆ เองก็ขี้เกียจจะสลับ Facebook 2 บัญชีไปๆ มาๆ ซึ่งมันเสียเวลามาก เดียวแอดจะมาแนะนำวิธีการแยก Facebook ที่มี 2 บัญชีสำหรับเวอร์ชั่นคอมพิวเตอร์และสำหรับ IOS กันว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง

เข้า Facebook 2 บัญชีพร้อมกันในเครื่องเดียวทำยังไง ? (กดเลือกอ่านได้)

ทำไมต้องแยกบัญชี Facebook 2 บัญชีกันด้วย

หากเพื่อนๆ มีบัญชี Facebook มากกว่า 2 บัญชีหรือมีบัญชี Facebook หลายอันก็คงปวดหัวไม่น้อยกับการสลับไปมา เพราะต้องล็อกอินล็อกเอ้าท์สลับกันทำให้เสียเวลาอย่างมาก และยิ่งใครที่ขายของออนไลน์ด้วยบางครั้งก็อาจจะทำให้เสียโอกาสในการขายได้เลย นอกจากเรื่องดังกล่าวแล้ว ยังมีในเรื่องที่ Facebook อาจจะจับเจอบัญชี ซึ่งการแยกเบราว์เซอร์ออกจากกันในแต่ละบัญชีก็ช่วยปกป้อง Facebook ของเราได้ระดับหนึ่ง ส่วนข้อดีของมันก็จะมี

1. ช่วยจัดการระบบบัญชีได้ง่ายมากขึ้น

การมีบัญชี Facebook หลายอันก็มักจะสร้างความสับสนให้กับหลายๆ คน ที่ต้องสลับกันไปมา แต่จะดีกว่ามากถ้าเราสามารถเข้าพร้อมๆ กันได้แม้จะใช้งานเครื่องเดียวกัน มันก็ช่วยให้ทำงานสะดวกมากยิ่งขึ้น และลดความวุ่นวายได้ในระดับหนึ่งเลย

2. ป้องกันไม่ให้ Facebook ปลิวง่ายเกินไป

สำหรับคนที่ไม่ได้ทำผิดกฎใดๆ แล้วก็อาจจะโดนแบนเพราะมีหลายแอคเคาท์และถูก AI มองว่ามีพฤติกรรมน่าสงสัยได้ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นเลี่ยงการล็อกอินเข้าออกหลายบ่อยๆ จะดีกว่า โดยการแยกเบราว์เซอร์หรือแยก User ออกจากกันไปเลย เราจะได้ไม่ต้องล็อกอินหลายครั้ง

วิธีแยกบัญชี Facebook บนคอมพิวเตอร์

วิธีนี้สามารถใช้ทั้งเบราว์เซอร์ของ Google Chrome และ Microsoft Edge ได้เลย และการทำก็เหมือนกันเป๊ะๆ แต่ในอันนี้แอดจะสอนในฝั่งของ Google Chrome ให้ว่าแยกอย่างไรดี

1. อันดับแรกให้เพื่อนๆ เปิดแถบ Google Chrome ขึ้นมาก่อนสัก 1 ตัวเมื่อเปิดแล้วก็ไปที่ตรงรูปคนมุมขวาด้านบนตรงที่แอดวงไว้ได้เลย

2. พอกดเข้ามาก็จะมีแถบ User ต่างๆ สำหรับ Google Chrome ขึ้นมา ส่วนที่แอดเซ็นเซอร์ไว้คือแอดทำแยกไว้อยู่แล้ว จากนั้นให้เพื่อนๆ เลือกไปที่ “Add” ได้เลย

วิธีล็อกอิน Facebook 2 บัญชีพร้อมกัน

3. พอกดปุ่มดังกล่าวมันก็จะมีอีกหน้าต่างนึงเด้งขึ้นมา โดยจะมีให้เราเลือก 2 แบบคือ Login ด้วย Google หรือใช้ Gmail นั่นแหละ กับอีกแบบคือสร้าง User ขึ้นมาใหม่เลยโดยที่ยังไม่ผูกบัญชีใดๆ ทั้งสิ้น ขั้นตอนนี้แอดจะสอนผูกแบบ User ขึ้นใหม่

เข้าบัญชีเฟสบุ๊ค 2 บัญชีพร้อมกัน

4. พอกดแล้วเราก็ใส่ชื่อให้กับ User ดังกล่าว แล้วแตเราเลยว่าจะใส่อะไร เลือกสี ปรับแต่งอะไรเรียบร้อยแล้วเราก็กด “Done” ได้เลย ถ้าเพื่อนๆ อยากให้ตัวแถบ User นี้แสดงอยู่ในหน้า Desktop ของคอมพิวเตอร์ เพื่อนๆ ก็ติ๊กถูกในช่องได้เลย แต่ถ้าไม่ต้องการก็ไม่ต้องติ๊ก

สร้าง Google Chrome หลายแถบ

5. แค่นี้ก็เสร็จสิ้นเรียบร้อย จะเห็นได้เลยว่าแถบ Google Chrome ในส่วนของ User ก็จะเป็นชื่อที่เราตั้ง หากภายหลังเรามี User เยอะมากๆ เราก็สามารถกดแถบดังกล่าวเพื่อดู User ที่เราต้องการได้ และพอกดเข้าไปมันก็จะเปิดแถบใหม่ขึ้นมาให้นั่นเอง ทีนี้จะมีบัญชี Facebook 2 หรือกี่แอคเคาท์ก็เข้าได้เลย

วิธีแยกบัญชี Facebook บน IOS

ไม่ใช่แต่เพียงบนคอมพิวเตอร์อย่างเดียวที่สามารถเข้าบัญชี Facebook พร้อมกันได้ 2 ตัวโดยที่ไม่ต้องล็อกเอาท์ออกแต่อย่างใด และวิธีการทำก็ง่ายอย่างมาก เดี๋ยวมาทำตามไปพร้อมๆ กันได้เลย

1. อันดับแรกให้เพื่อนๆ เข้าไปที่ “Safari” ก่อน

2. เปิด Facebook Account ที่เราต้องการค้างเอาไว้ตลอด เมื่อเราเข้าเรียบร้อยแล้วให้เราไปที่ “ตัวเลือกเพิ่มเติม” ดูจากตรงที่วงไว้ด้านล่างได้เลย

3. เมื่อเรากดเข้าไปแล้ว ให้เราเลื่อนลงมาด้านล่างนิดนึง จะเจอกับหัวข้อ “เพิ่มไปยังหน้าจอโฮม” ก็กดเลือกเข้าไปได้เลย

4. ถ้าเรากดเข้ามาแล้ว เราสามารถตั้งชื่อก่อนเพิ่มไปหน้าจอโฮมได้ อันนี้แล้วแต่เพื่อนๆ จะตั้งกันเลย ตั้งเสร็จก็กดเพิ่มได้เลย

5. เมื่อเราตั้งเสร็จจะเห็นได้เลยว่ามีไอคอน Facebook เพิ่มเข้ามาอีกตัวหนึ่ง อันนี้เวลาเรากดเข้าไปมันก็จะเปิด Safari ตัว Account Facebook ที่เราเพิ่มเอาไว้นั้นเอง ทำให้เราไม่ต้องไปนั่งสลับแอคเคาท์ในแอปอีกต่อไป

สรุป

เหตุผลที่เราต้องแยก Facebook คือเรื่องของความสะดวกในการใช้งาน และป้องกันไม่ให้ Facebook ตรวจสอบเจอกิจกรรมผิดปกติหากเราล็อกอินล็อกเอาท์ถี่และบ่อยจนเกินไป

นอกจากนี้ไม่ใช่แต่เพียงคอมพิวเตอร์หรือ IOS ที่สามารถทำได้เท่านั้น ทุกอุปกรณ์ที่เป็น Smartphone ก็สามารถทำได้เช่นกัน


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

สาเหตุที่ยอดขายตก เกิดจากอะไร ? วิเคราะห์กับ 6 สาเหตุนี้

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

การที่ยอดขายตกแทบจะเป็นเรื่องปกติของทุกธุรกิจที่ต้องเผชิญปัญหาเหล่านี้ แต่บางครั้งมันอาจจะไม่ได้ตกลงไปมากมายจนถึงขั้นเกิดวิกฤต แต่ส่วนใหญ่ช่วงนี้หลายคนก็จะเผชิญปัญหาที่ยอดขายตกลงไปมาก มากเกินกว่า 50% โดยเฉพาะคนที่ขายผ่านช่องทาง eCommerce และฝั่ง Social Media ล้วนแล้วก็เจอปัญหานี้ด้วยกันทั้งสิ้น ทำให้ไม่รู้ว่ามันเกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง และจะแก้ไขอย่างไรดีเดียวเรามาวิเคราะห์กันว่าจะเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง

1. เกิดคู่แข่งหน้าใหม่ๆ ขึ้นมา

การขายของออนไลน์หากคุณเป็นคนที่รับมาขายไปก็มักจะเจอปัญหาเหล่านี้อยู่แล้ว เพราะไม่ว่าใครก็สามารถหามาขายได้เหมือนกัน นอกจากนี้การหาสินค้ามาขายก็ไม่ได้มีความยากเท่ากับเมื่อก่อน เพราะโลกออนไลน์ก็เชื่อมต่อและพูดคุยกับเจ้าของธุรกิจได้ง่ายขึ้น

ทำให้โอกาสในการเกิดคู่แข่งหน้าใหม่ๆ ก็มีมากขึ้นด้วย ซึ่งส่วนใหญ่หลายคนปัญหานี้ก็ส่งผลอย่างมาก เพราะบางครั้งพวกเขาที่เข้ามาใหม่ก็ไม่ได้ตั้งกำไรเผื่อไว้ในอนาคต เพียงแค่ขอให้ขายได้ก็พอและกลายเป็นว่าขายตัดราคาไปซะงั้น อันนี้ก็เป็นปัญหาที่ทำให้ยอดขายตกได้เหมือนกัน

2. โดนตัดราคาสินค้า

ข้อนี้จะเป็นสาเหตุที่ต่อเนื่องกับข้อที่ 1 พูดง่ายๆ คือ เมื่อมีคนขายเข้ามาใหม่ในกลุ่มสินค้าชนิดเดียวกันหรือรับมาจากแหล่งเดียวกัน โอกาสในการขายตัดราคาก็ค่อนข้างมาก เพราะคนที่เข้ามาใหม่มักจะมาด้วยการทำราคาสินค้าให้ถูกก่อนเพื่อสร้างฐานลูกค้า แล้วก็ปรับกลับมาราคาเดิม

ช่วงนี้ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อคนที่ขายสินค้าก่อนทำให้ยอดขายของเราตกลงได้ ตรงนี้อาจจะต้องหาสินค้าอื่นๆ มาเสริมทดแทนรายได้ที่ขาดไป หรือไม่ก็ถ้าราคาสู้ไหวก็ปรับให้เท่าๆ กันก็ได้ แต่เรื่องราคาแอดไม่ค่อยแนะนำให้ลงไปเล่นเท่าไหร่หากไม่จำเป็น

3. ปรับเปลี่ยนแผนการตลาดใหม่

บางครั้งสำหรับคนขายของออนไลน์ก็จำเป็นจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอัพเดทอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ธุรกิจของเรามียอดขายที่มากยิ่งขึ้น แต่บางครั้งการปรับเปลี่ยนแผนงานหรือแผนการตลาดก็ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเราด้วยเช่นกันหากปรับไม่ถูก ดังนั้นเราอาจจะสันนิษฐานได้หากการปรับแล้วไม่มันเวิร์คหรือมียอดขายที่ลดลงมากๆ ก็อาจจะกลับไปลองวางแผนใหม่และแก้ไขดู

4. การปรับเปลี่ยนรายละเอียดหรือปรับปรุงตัวสินค้า

ในเรื่องของการปรับปรุงสินค้าหรือรายละเอียดสินค้าก็มักจะส่งผลกระทบทั้งด้านดีและด้านไม่ดีได้เหมือนกัน เป็นหมดทุกแพลตฟอร์ม ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเพื่อให้ธุรกิจของเราเติบโตมากยิ่งขึ้นก็จะมีการปรับปรุงเรื่อยๆ เพื่อเป็นการเพิ่มคุณภาพของเนื้อหา

ดังนั้นถ้าเกิดเราได้มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดสินค้าหรือปรับปรุงเนื้อหา แต่พบว่ามันไม่ได้ดีขึ้นอาจจะต้องมีการหยุดการปรับก่อน แล้วก็ค่อยวิเคราะห์หาทางใหม่อีกที

5. สินค้าเสื่อมความนิยม

สินค้าทุกชิ้นย่อมมีระยะเวลาการขายไม่เท่ากันอยู่แล้ว หากพูดง่ายๆ คือมันอยู่ในเรื่องของ Product Life Cycle ที่จะแบ่งเป็น 4 ระยะด้วยกันคือ

  • ขั้นเริ่มต้นหรือขั้นแนะนำ (Introduction)
  • ขั้นเจริญเติบโต (Growth)
  • ขั้นเจริญเติบโตเต็มที่ (Maturity)
  • ขั้นถดถอย (Decline)

ซึ่งหากเราขายสินค้าพวกนี้ยังไงเราต้องเข้าใจเลยว่าไม่มี่สินค้าตัวไหนที่จะขายดีไปตลอด แม้กระทั่งกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยก็ด้วยเช่นกัน บางครั้งพอมันผ่านระยะเวลาไปสักพักก็จะเริ่มมียอดขายลดลงไปเรื่อยๆ เราอาจจะเดาสาเหตุได้อีกอย่างคือสินค้าของเราเริ่มถึงขีดจำกัดแล้ว ดังนั้นเราอาจจะต้องมีการพัฒนา ปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างเพื่อให้มันกลับมาอยู่ในขั้นที่ 2 ได้อีกครั้ง ซึ่งเราสามารถฟื้นกลับมาได้ทุกสินค้าอยู่แล้ว อยู่ที่การปรับปรุงนั่นเอง

6. ใช้วิธีการแบบเดิมๆ

เหมือนข้อนี้จะดูไม่มีผลกระทบอะไร แต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างมาก ส่งผลกระทบทำให้ยอดขายตกได้ เพราะแอดคิดว่าเพื่อนๆ น่าจะรู้อยู่แล้วว่าโลกออนไลน์จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และมีเทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทำให้วิธีการทำแบบเดิมๆ จะใช้งานไม่ได้ผลอีกต่อไป คุณจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง พัฒนาปรับปรุงอยู่ตลอด

เคสนี้ให้เพื่อนๆ ลองดุบริษัทใหญ่ๆ แนวหน้าระดับประเทศที่จะมีการพัฒนาปรับปรุงพัฒนาตลอด มีแนวทางใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ ดังนั้นคุณเองก็ควรจะหาโอกาสใหม่ เช่น ใช้วิดีโอแบบสั้น เพราะหลายแพลตฟอร์มก็เข้ามามีบทบาท และเพิ่มการมองเห็นให้กับฟีเจอร์วิดีโอแบบสั้นเยอะมากขึ้น ดังนั้นคุณไม่ควรพลาดที่จะลองเลย

7. เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น

เรื่องพฤติกรรมของลูกค้าก็เป็นสิ่งสำคัญที่อยู่คู่กับการทำการตลาดมาตั้งแต่ยุคสมัยก่อน ต้องบอกว่าเรื่องนี้ก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจลูกค้ามากยิ่งขึ้นเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการให้ถูกใจกับลูกค้าของเรา ซึ่งมันจะช่วยแก้ไขปัญหายอดขายตกให้กับเราได้

โดยข้อมูลต่างๆ ที่จะช่วยให้เราเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นคือ อายุ เพศ รายได้ ระยะเวลาในการซื้อ ส่วนลดหรือคูปอง (ถ้ามีการใช้) เพราะไว้เป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์และใช้ในการปรับปรุงได้

สรุป

เรื่องยอดขายตกต้องบอกเลยว่าเป็นปัญหาใหญ่อย่างมากสำหรับทุกธุรกิจ และแน่นอนว่าต้องมีการเผชิญหน้ากับเรื่องนี้อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าใครจะหาสาเหตุเจอได้ไวและแก้ไขได้ก่อนก็จะทำให้ธุรกิจกลับมาอยู่จุดเดิมหรือกลับไปดียิ่งขึ้นอีก ดังนั้นอย่าเพิ่งตกใจที่ยอดขายตก

ให้กลับไปดูธุรกิจของเราและวิเคราะห์สาเหตุก่อน หากเรารู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไรก็จะช่วยให้เราประหยัดเวลา ประหยัดงบประมาณ และไม่เปลืองแรงรวมถึงได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนอีกด้วย


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
Notion ตัวจัดการงานหรือทุกอย่างได้ในซอฟท์แวร์ตัวเดียว

Notion ตัวจัดการงานหรือทุกอย่างได้ในซอฟท์แวร์ตัวเดียว

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

เวลาเพื่อนๆ ทำงานเราอาจจะจดใส่กระดาษ จดบนไอแพด หรือจนบนกระดานกัน มันจะดีกว่าถ้าเกิดว่าเราสามารถบันทึกหรืออัพเดทงานต่างๆ ผ่านทางออนไลน์ได้เลยโดยที่ไม่ต้องมานั่งแบ่งกระดาษที่จดกัน ซึ่งซอฟท์แวร์อย่าง “Notion” จะเป็นตัวกลางที่ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับคนอื่นๆ ในทีมผ่านออนไลน์ได้เลย สามารถสร้างแผนงาน บันทึกการทำงาน การติดตามผล อัปเดตงานต่างๆ ผ่านบน Notion ได้เลย โดยที่เพื่อนๆ ที่ใช้งานร่วมกันก็จะเห็นการอัปเดตเหล่านั้นแบบ Real – Time ด้วย หากนึกไม่ออกว่าเป็นอย่างไร ลองนึกถึงการที่คุณแชร์งานผ่าน Google Drive ดู

รู้จักกับ Notion เบื้องต้น

ถ้าเพื่อนๆ เป็นคนที่มีงานเยอะมากๆ หรือจำเป็นต้องมีการอัปเดตงานกันอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรใหญ่ๆ ที่ต้องมีการสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้งานสะดุด แม้กระทั่งอย่างบริษัทเล็กๆ เองก็ด้วยเหมือนกัน

ในตัวของ Notion เองจะมีพวกตัวจัดระเบียบให้เราได้ใช้งานอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำ Project, To Do List, การจดโน้ตต่างๆ ก็สามารถทำได้ โดยที่มันจะไม่หายไปไหน ซึ่งสะดวกอย่างมาก

ต้องบอกเลยว่าตัว Notion นอกเหนือจากการจดโน้ตแล้ว ยังช่วยให้เราจัดการ Task งานต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบระเบียบมากยิ่งขึ้นอีกด้วย รวมถึงในด้านของ Database มันก็สามารถใช้งานได้เช่นกัน แต่ยังไม่ถือว่าทำได้เท่ากับพวก Excel

Notion

รูปภาพจาก Notion

แชร์ Task ต่างๆ ในการทำงานได้สะดวกมาก

หากเพื่อนๆ ที่ทำงานในสายบริษัท และจำเป็นจะต้องมีการทำงานเป็นทีม ตัว Notion ก็สามารถทำให้เราแชร์สถานะการทำงานรวมถึงหัวข้อการทำงานบน Workspace ของเราได้เหมือนกัน และสามารถจัดลำดับความสำคัญของงานได้อีกด้วย

นอกจากนี้เราก็สามารถลากตัว Task ต่างๆ  ไปมาตามสถานะหรือวันที่ที่เราทำงานได้เหมือนกัน ทำให้เรารู้ได้ว่าสถานะงานชิ้นนั้นๆ อยู่ในขั้นตอนไหนแล้ว

ยิ่งถ้าเป็นคนที่ทำงานด้านสาย SEO หรือสายเขียนคอนเทนต์ลงเว็บไซต์นี่ก็ช่วยได้เยอะเลย เพราะ Notion จะคอยให้เราติดตามการทำงานได้แบบง่ายดาย

แอพ Notion

รูปภาพจาก Notion

สามารถ Sync การใช้งานได้กับหลายซอฟท์แวร์

เมื่อทาง Notion เคลมว่าซอฟท์แวร์ของเค้าเพียงแค่ตัวเดียวก็สามารถจัดการเรื่องต่างๆ ได้ครบจบในที่เดียว ทำให้คนทำงานปกติต้องมีการใช้เครื่องมือหลายๆ ตัวช่วยในการทำงาน สามารถเชื่อมต่อกับพวกเครื่องมือต่างๆ ได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Google Drive, Google Map, Embed Link, Video Embed, PDF Embed, Slack รวมถึงซอฟท์แวร์อื่นๆ อีกมากมายที่จะเข้ามาเพิ่มเติมในอนาคต

นอกจากการทำ Task แล้ว ยังมี To Do List ด้วย

สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการใช้ทั้งการติดตาม Task งานและ To Do List พร้อมๆ กัน ตัว Notion ก็สามารถทำคู่กันได้ด้วย โดยจะมีการแยกหมวดอย่างชัดเจนและเราตั้งชื่อเรื่องที่ทำได้ด้วย และเจ้า To Do List ต้องบอกว่ามีประโยชน์อย่างมากทั้งกับคนทำงานและคนใช้สำหรับเรื่องในชีวิตประจำวัน เพราะจะทำให้เรารู้ด้วยว่าในแต่ละวันจะต้องทำอะไร เพื่อที่จะได้ไม่วอกแวก

ตัว Notion มีความยืดหยุ่นสูงมาก

คือต้องยอมรับเลยว่าตัว Notion มีความยืดหยุ่นสุดๆ สามารถปรับแต่งได้หลากหลาย ทั้งการตั้งชื่อ ใส่ไฟล์ลงใน Notion แชร์งานต่างๆ หรือแม้กระทั่งการวางแผนทางด้านการทำงานก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้สามารถปรับแต่งเทมเพลต ใส่พวกนาฬิกาหรือปฏิทินลงในตัว Notion ก็ได้เช่นกัน แม้กระทั่งทำ List เพลงสำหรับการทำงานส่วนตัวบน Notion เหมือนกับโปรแกรม Winamp ก็ยังได้ด้วย

วิธีใช้ Notion

รูปภาพจาก Notion

สรุป

หากเพื่อนๆ ที่กำลังมองหาเครื่องมือช่วยจัดการงานของคุณอยู่ ตัว Notion ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะเราสามารถทำทำกอย่างครบ จบในตัวเดียวได้เลย ไม่ว่าจะงานแบบไหนตัว Notion ก็รองรับทั้งสิ้น แต่แอดมองว่าถ้าเกิดในบริษัทมีคนเยอะจนเกินไป ตัว Notion อาจจะดูยุ่งเหยิงไปสักนิด แนะนำว่าถ้าไม่เกิน 10 คนก็กำลังดีเลย


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
Shopping cart0
There are no products in the cart!
Continue shopping