แบรนด์สินค้าทำยาก มาลองปั้น Personal Branding กันดู

แบรนด์สินค้าทำยาก มาลองปั้น Personal Branding กันดู

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

การทำ Branding เป็นสิ่งที่มักจะมองกันว่ายากอย่างมาก และก็มักจะเบือนหน้าหนีหากคิดจะทำ โดยเฉพาะสำหรับผู้เริ่มต้นธุรกิจหรือแม้กระทั่งขายของออนไลน์ การทำ Branding ให้กับตัวสินค้าคงเป็นเรื่องยากอย่างมาก เพราะไม่ได้มีทุนมากมายเหมือนกับเจ้าใหญ่ๆ คนดังต่างๆ ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง Personal Branding ที่เป็นการสร้างแบรนด์แบบลักษณะบุคคล หากในที่นี้ก็คือภาพลักษณ์ของธุรกิจหรือผู้ขายนั่นเอง ที่แม้คุณจะมีงบน้อยก็สามารถเอาไปใช้สร้างจุดแข็งให้กับตัวเองและต่อยอดไปทำ Branding สินค้าในอนาคตได้

Personal Branding คืออะไร ?

Personal Branding คือ การสร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวบุคคลและผู้อื่นก็ได้รับรู้ถึงภาพลักษณ์ที่เราได้นำเสนอออกไป โดยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ตัวบุคคลเท่านั้น แต่สามารถหมายถึงธุรกิจหรือร้านค้าได้ด้วยเช่นกัน และสำหรับการที่ใครสร้าง Personal Branding ได้ดีและเด่นชัดมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้ผู้คนจดจำเราได้ดีมากเท่านั้น และยังได้ประโยชน์อื่นๆ ตามมาอีกมากมายสำหรับการต่อยอดในการทำธุรกิจ ทำการขายได้ง่ายมากยิ่งขึ้นเพราะลูกค้าได้เห็นภาพลักษณ์ที่ชัดเจนของเราแล้ว

พิมรี่พายขายทุกอย่าง

ยกตัวอย่างคุณพิมรี่พายที่ทุกคนจดจำว่าเป็นแม่ค้าขายของออนไลน์ที่ขายทุกอย่างและเป็นคนที่ชอบบริจาคอีกด้วย

ความแตกต่างระหว่าง Personal Branding กับ Branding สินค้า

สำหรับตัว Personal Branding ก็เป็นแบรนด์ที่สร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวบุคคล ธุรกิจ หรือแม้กระทั่งการค้าขายก็ทำ Personal Branding ได้

ยกตัวอย่าง Personal Branding แอดขอยกเป็น “คุณตัน” เวลาเราเห็นคุณตันไปไหนก็ตาม แน่นอนว่าเราต้องเห็น “หมวกกัปตันสีขาว” ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์โดดเด่นประจำตัว และถึงแม้จะเซ็นเซอร์หน้าไว้แต่ถ้าได้เห็นหมวกปุ๊บก็รู้ทันทีเลยว่าเป็นคุณตัน ตรงนี้แหละคือ Personal Branding

เครื่องดื่มไบเล่

คุณตันกับหมวกใบเก่งสีขาว

ส่วน Branding สินค้าก็คือ ตราสัญลักษณ์ประจำผลิตภัณฑ์ เพื่อทำให้ลูกค้าจดจำได้ผ่านการทำการตลาด การสร้างชื่อเสียง การโปรโมท ซึ่งการทำ Branding ให้กับตัวสินค้าจะช่วยทำให้ลูกค้าจดจำได้ง่าย และมีความแตกต่างจากคู่แข่ง

ประโยชน์ของ Personal Branding

1. มีความแตกต่างจากคู่แข่ง

ทำให้ลูกค้ารู้จักเราได้ง่าย และมีความแข็งแกร่งในการแข่งขันตามแต่ละอุตสาหกรรมที่เราทำอยู่ ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คุณพิมรี่พาย Personal Branding ที่เราเห็นได้ชัดเลยคือ ไลฟ์ขายของทุกอย่าง กล้าพูด ใจบุญชอบช่วยเหลือคน ทำให้เราจดจำได้ง่าย

2. สามารถสร้างการจดจำให้กับลูกค้าได้

การที่เราทำ Personal Branding ได้ดี แสดงถึงความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ หรือแสดงจุดเด่นออกมาได้มากเท่าไหร่ คนก็จะยิ่งจดจำเราง่ายมากขึ้นเท่านั้น การที่เราสร้างมันออกมาได้ดีจะช่วยให้ลูกค้านึกถึงเราเป็นอันดับแรกๆ และพร้อมที่จะซื้อสินค้ารวมถึงบริการกับเราด้วย

3. ช่วยเพิ่มมูลค่าทั้งตัวสินค้าและตัวคุณเอง

หากคุณทำ Personal Branding และแสดงมันออกมาได้อย่างเด่นชัดแล้ว โอกาสที่ลูกค้าจะซื้อสินค้าหรือบริการและนึกถึงคุณเป็นอันดับแรกย่อมมีมากขึ้นแน่นอน เพราะการมี Personal Branding ก็เหมือนกับเป็นป้ายยี่ห้อ ถ้าตัวเราหรือธุรกิจแสดงออกมาแบบไหน ลูกค้าก็จะจดจำแบบนั้น และถ้ามันใช่กับกลุ่มเป้าหมายแน่นอนว่าการซื้อหรือใช้บริการกับเราคงไม่ยากแน่ๆ

นอกจากนี้การที่เราทำ Personal Branding มันจะทำให้เรามีความแข็งแกร่งกว่าคนที่ไม่มี Brand และไม่มี Branding ใดๆ ทั้งสิ้น พูดง่ายๆ ว่าถ้าคุณเป็นคนขายของ คุณก็สามารถอัพราคาขายได้มากกว่าคนที่ไม่มีตรงจุดนี้นั่นเอง

5 วิธีทำ Personal Branding ที่คุณเองก็ทำได้

การทำ Personal Branding จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะมันต้องทุ่มเททั้งเวลา ทรัพยากรต่างๆ การทำคอนเทนต์ และสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะด้านเวลาที่กว่าเราจะสร้างการจดจำให้กับลูกค้าได้มันไม่ใช่ง่ายเลย ยกเว้นถ้าคุณทำอะไรแล้วมันเป็น “ไวรัล” ได้ก็จะเป็นทางลัดชั้นดีเลย งั้นเรามาดูขั้นตอนการทำ Personal Branding กันดีกว่าว่าถ้าเราอยากสร้างภาพจำให้กับแบรนด์หรือตัวเราเอง ควรทำแบบไหนดี ?

1. สร้างตัวตนผ่านคอนเทนต์

สมัยนี้เราเริ่มอยู่ในโลกออนไลน์กันเป็นหลัก และสามารถเข้าถึงผู้คนได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้นหากเปรียบเทียบกับสมัยก่อน ซึ่งการทำคอนเทนต์นั้นจะทำให้ลูกค้าเราทราบได้ว่า

เราเป็นใคร ?

ทำอะไร ?

ต้องการสื่อสารอะไร ?

นอกจากคอนเทนต์ที่เราต้องทำแล้ว กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจเราก็ต้องชัดเจน เพราะแต่ละธุรกิจหรือสินค้าที่ถูกสร้างมา มันย่อมมีความต้องการ มีกลุ่มเป้าหมายอยู่แล้ว ยิ่งเราเข้าใจกลุ่มเป้าหมายได้ดีมากเท่าไหร่ โอกาสในการทำคอนเทนต์ได้ตรงใจและได้รับ Feedback ที่ดีกลับมาก็มากขึ้นเท่านั้น อันนี้ก็ต้องดูกันแล้วว่าในธุรกิจหรือสินค้าที่คุณทำอยู่กลุ่มเป้าหมายเป็นใครกันแน่ และลองทำคอนเทนต์สื่อสารกับพวกเขาเหล่านั้นดู

2. สร้างภาพจำด้วย Logo หรือ CI ประจำตัว

การที่เรามี Logo หรือ CI ประจำตัวที่ดีมันจะช่วยเพิ่มการจดจำให้กับกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนทีนี้ก็มีคนจำเราได้ เนื่องจากว่าการทำ Personal Branding มันก็ต้องมีเรื่องของ Mood & Tone รวมถึงการมีสีประจำตัว สีประจำธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง มันจะช่วยให้ลูกค้าจำเราได้ง่ายและสร้างความแตกต่างกับคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาดได้อีกด้วย

3. วางกลยุทธ์ในการสื่อสาร

ในเรื่องกลยุทธ์การสื่อสารก็สำคัญ ถึงแม้คุณจะทำคอนเทนต์ออกมาได้ดีมากแค่ไหนแต่ถ้าไม่วางแผนให้ดีสุดท้ายก็ไม่มีใครเห็น และไม่มีใครที่จะจำเราได้ทั้งนั้น การวางกลยุทธ์การสื่อสารก็อาจจะต้องเลือกช่องทางที่คาดว่ากลุ่มเป้าหมายเราอยู่ โดยสมัยนี้อาจจะเป็น Facebook, eCommerce หรือแม้กระทั่งเว็บไซต์ก็ได้เช่นกัน โดยการสื่อสารเราสามารถทำได้หลายวิธีเช่น ทำเป็นวิดีโอคลิปสั้นๆ การจ้าง Influencer หรือการออกให้สัมภาษณ์ในมุมของผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ตรงจุดนี้ต้องเลือกให้ดีว่าเราเน้นอะไรเป็นสำคัญ

4. การแก้ไขปัญหาด้วยสินค้าหรือบริการ

“การขยี้ปัญหา” คำๆ นี้เราได้ยินกันบ่อยครั้ง ยิ่งใครศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการตลาดและการขายแล้วก็ต้องเจอคำนี้อย่างแน่นอน ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบเจอในกลุ่มของคนทำธุรกิจหรือขายของออนไลน์มักจะพบว่า “ตัวเองไม่เข้าใจสินค้า” เพราะถ้าคุณเข้าใจสินค้านั้น การขยี้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูกค้าจะไม่ยากอย่างที่คุณคิด และหากคุณขยี้ได้ตรงจุดมากพอมันจะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจได้อย่างก้าวกระโดด รวมถึงหากเกิดปัญหาขึ้นกับลูกค้าอีกครั้ง สิ่งที่เค้าจะนึกถึงคนแรกก็คือ “คุณ” ดังนั้นแล้วเนี่ยให้พยายามสร้างการจดจำให้กับลูกค้าด้วยการแก้ไขปัญหาที่เค้าเจอให้ได้มากที่สุด

5. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้วย

การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีมันจะช่วยให้ลูกค้าที่เข้ามาหาคุณได้จดจำ ไม่ว่าจะเป็นการบริการที่ดี การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูกค้า การช่วยเหลือลูกค้า สิ่งเหล่านี้มันก็รวมอยู่ใน Personal Branding ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกับคนที่ขายของออนไลน์งบน้อยไม่สามารถสร้าง Branding อะไรได้มากมาย อาจจะเริ่มต้นจากสิ่งเหล่านี้เพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจและเกิดความไว้วางใจกับเรา และมันจะช่วยให้เราสร้างกลุ่มเป้าหมายที่มีความจงรักภักดีกับร้านค้าของเราได้ไม่ยาก ดังนั้นสิ่งเหล่านี้เราสามารถเริ่มทำ และปลูกฝังมันให้อยู่ในตัวเราได้เลยเป็นอันดับแรกๆ

สรุป

การสร้าง Personal Branding มันเป็นอาวุธอีกชิ้นที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับแต่ละอุตสาหกรรมที่คุณอยู่ ยิ่งคุณสร้างความแตกต่างได้มากเท่าไหร่ มันก็จะช่วยให้คุณทำธุรกิจได้ง่ายมากเท่านั้น รวมถึงมันยังเพิ่มอัตราการกลับมาซื้อซ้ำของลูกค้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยจะเป็นธุรกิจเล็กหรือธุรกิจใหญ่ก็ล้วนให้ความสำคัญกับการสร้าง Brand หรือ Personal Branding กันทั้งนั้น เพราะมันมีความสำคัญอย่างมากต่อการทำธุรกิจในปัจจุบัน ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณมีความคิดที่อยากจะทำ Personal Branding บ้างแล้วรึยัง ?


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
8 สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับโฆษณา Facebook ในปี 2022

8 สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับโฆษณา Facebook ในปี 2022

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

การทำโฆษณา Facebook ต้องบอกว่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างต่อเนื่อง บางครั้งในหหนึ่งปีเปลี่ยนแปลงกันมากกว่า 20 ครั้งเสียอีก ไหนจะครั้งที่เป็นประกาศบ้าง มีครั้งที่ไม่ประกาษบ้าง ซึ่งสร้างความมสับสนให้กับคนทำโฆษณาอย่างมาก และนี่คือ 8  สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับโฆษณา Facebook ในปี 2022

1. การทำโฆษณามีความยากมากขึ้น

แน่นอนว่าตามปกติโฆษณาจะมีความยากขึ้นในทุกๆ ปี แม้กระทั่งปีนี้ก็ด้วยเช่นกัน หลายคนหลายธุรกิจอาจจะเริ่มมีการยิงโฆษณากันมากยิ่งขึ้น เนื่องจากว่าการโพสต์แบบเดิมๆ หรือการปรับเปลี่ยนเนื้อหาคอนเทนต์แล้วก็ตามยังมีการเข้าถึงที่ลดลง ดังนั้นจึงหันมาพึ่งการใช้โฆษณามากขึ้นเพื่อให้ธุรกิจของตัวเองอยู่เหนือคู่แข่ง

2. ค่าโฆษณาจะมีอัตราสูงขึ้นกว่าทุกปี

พอเกิดการแข่งขันกันมากขึ้น ทำให้ในทุกๆ ปีนั้นค่าโฆษณาจะมีอัตราที่สูงขึ้นก็มีสาเหตุมาจากว่าตัวโฆษณา Facebook เองก็ต้องมีการแย่งบิดประมูลกันเพื่อแย่งพื้นที่การแสดงโฆษณาอันมีอยู่จำกัด รวมถึงการแย่งประมูลนี่เองก็ส่งผลต่อการเข้าถึงด้วยเช่นกัน

3. ค่า CPA จะสูงยิ่งขึ้นอีกจากผลกระทบ IOS 14

ในปี 2021 ที่ผ่านมาจากการที่ Apple ได้เปิดตัว IOS 14 และได้เพิ่มเรื่อง ATT เข้ามาด้วยทำให้การระบุแหล่งที่มาไม่ได้มีความชัดเจน นอกจากนี้ตัวระยะเวลาการเกิด Conversion ยังลดจาก 28 วันเหลือเพียง 7 วันเท่านั้น จึงส่งผลให้ CPA สูงขึ้นมาก จากเรื่องนี้เองทำมีคนเห็นโฆษณาน้อยลงและการแข่งขันที่มากขึ้น จึงทำให้ปีหน้าจากเดิมที่แพงอยู่แล้วก็อาจจะแพงขึ้นไปอีก

4. Facebook Business Suite อาจจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น

จากการที่ Facebook ได้เปิดตัวเครื่องมือ Business Suite ไป ก็มีเครื่องมือหลากหลายตัวที่รวมอยู่ครบในที่เดียว และเรายังดูเรื่องของโฆษณารวมถึงการสร้างโฆษณาผ่าน Facebook Business Suite ได้อีกด้วย ในปี 2022 เราอาจจะได้เห็นทาง Facebook พัฒนาเครื่องมือสักตัวเพื่อช่วยให้มันมีบทบาทต่อการโฆษณามากยิ่งขึ้นอีกขั้น

5. เตรียมตัวรับมือกับต่างชาติให้ดี

ตอนนี้หลายคนน่าจะรู้อยู่แล้วว่าทางฝั่งต่างประเทศอย่างจีนเองกำลังรุกคืบตลาดบ้านเราอย่างหนัก ทำให้คนยิงแอดหลายคนอาจจะต้องเผชิญปัญหาในเรื่องโฆษณาที่มากขึ้น เพราะเค้าทั้งใช้คนไทยทีมไทยในการช่วยรันโฆษณา หรือบางคนอาจจะมียิงมาเองบ้าง และจากเท่าที่สังเกตมาคนส่วนใหญ่ที่บุกตลาดของไทยนั้นมีทุนหนาพอสมควร ตรงนี้อาจจะต้องเตรียมตัวรับมือให้ดีหากสินค้าหรือบริการมีความใกล้เคียงกัน

การเขียนพาดหัวให้ปังทำได้ไม่ยาก เพิ่มยอดขายได้ชัวร์ ก็อปวางเป็นของคุณได้ทันทีแบบง่ายๆ

6. ความเข้มงวดของโฆษณาจะเพิ่มมากขึ้น

ในทุกๆ ปีทาง Facebook เองก็มักจะมีกฎใหม่ๆ ออกมาอยู่เสมอ ทำให้คนทำโฆษณาต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่ตลอดเวลา ในปี 2022 นี้เองก็ต้องเตรียมตัวรับมือให้พร้อมกับกฎใหม่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย

7. คนจะให้ความสนใจกับโฆษณา Facebook ลดลงไปอีก

จากเดิมในปีนี้เรื่องโฆษณาของ Facebook ก็มีปัญหาในเรื่องของการเข้าถึงที่ลดลงอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของพฤติกรรมผู้ใช้งานที่เปลี่ยนไปอีก โดยจะให้ความสำคัญกับโฆษณาลดน้อยลง เรื่องนี้อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาแบบเดิมๆ ให้เป็นในรูปแบบใหม่เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับสินค้าและบริการของเรามากขึ้น

8. แอดที่เคยปังในปีนี้ ปีหน้าอาจจะใช้ไม่ได้อีกแล้ว

ไม่ว่าแอดแบบไหนก็ตามย่อมมีขึ้นมีลงบ้างเป็นปกติ ไม่มีแอดตัวไหนที่ยิงออกไปแล้วได้ผลลัพธ์ดีอยู่เสมอ ดังนั้นคุณอาจจะต้องวางแผนปรับปรุงโฆษณาให้ดียิ่งขึ้นโดยอ้างอิงจากประสบการณ์การใข้งานของลูกค้าเอง หรือถ้ามีโพสต์ Organic แบบไหนที่ลูกค้าชื่นชอบ ก็อาจจะปรับไว้ใช้สำหรับยิงโฆษณาได้เช่นกัน

สรุป

อันนี้เป็นเพียงแค่แนวทางคร่าวๆ เท่านั้น แต่สำหรับในเรื่องของการจ่ายเงินค่าโฆษณาและได้ผลลัพธ์ลดลงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกปี โดยเฉพาะเรื่องของความยากนั้นมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อยู่เสมอ ดังนั้นในปี 2022 นี้ก็เตรียมรับมือกับเรื่องต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น และพยายามปรับปรุงโฆษณาให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
ปัญหาโฆษณา Facebook ไม่ผ่าน ยิงแอดไม่อนุมัติ แอดอืด มีสาเหตุจากอะไรบ้าง ?

ปัญหาโฆษณา Facebook ไม่ผ่าน ยิงแอดไม่อนุมัติ แอดอืด มีสาเหตุจากอะไรบ้าง ?

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

การยิงโฆษณา Facebook บางคนก็ยกให้เป็นทางรอด บางคนก็ยกให้เป็นทางเลือกบ้าง แต่แอดเดาว่าหลายคนที่เข้ามาอ่านบทความนี้ต้องเคยมีประสบการณ์ยิงแอด Facebook มาไม่มากก็น้อย และคงต้องเจอปัญหาในเรื่องของการยิงแอดแล้วไม่อนุมัติบ้างล่ะ แอดวิ่งอืดบ้างล่ะ มันเกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง

ใช้คำว่า Facebook ผิด

Facebook ก็เป็นชื่อบริษัทรวมถึงเหมือนเป็นป้ายยี่ห้อของสินค้าด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าไม่มีแบรนด์หรือยี่ห้อไหนอยากให้ใช้ชื่อผิดๆ ซึ่งรวมถึง Facebook เองด้วย การที่แอดไม่อนุมัติบางครั้งในโพสต์ของเราอาจจะกล่าวถึง Facebook แต่ดันสะกดผิด หรือใช้ขนาดผิด บางคนเขียนแบบนี้

“facebook”

“FaceBook”

“Facbook”

ตอนทำโพสต์ปกติถ้าเราใช้คำผิดก็ไม่มีปัญหา แต่จะเกิดขึ้นกับตอนเราทำโฆษณา เมื่อบอทเข้ามาตรวจสอบแล้วพบว่าเราใช้ชื่อยี่ห้อเค้าผิดก็จะไม่ได้รับการอนุมัติบ้าง แต่ก็ไม่ทุกเคสเสมอไป แนะนำว่าให้เขียนอย่างถูกต้องกันจะดีกว่าก็คือ “Facebook”

ใช้คำต้องห้ามของ Facebook

การใช้คำต้องห้ามบน Facebook ก็มีผลนอกจากจะทำให้โดนลดการมองเห็นได้แล้ว ยังเสี่ยงต่อการโดนแบนอีกด้วย  การใช้คำต้องห้ามสำหรับโพสต์อาจจะไม่มีปัญหาเท่ากับการยิงแอด Facebook สักเท่าไหร่นัก เพราะยิงแอดมันสามารถเข้าถึงได้กว้างมากๆ รวมถึงบอทที่เข้ามา Index โฆษณาของเรายังมีความเข้มงวดกว่าโพสต์ปกติ ดังนั้นแล้วใครที่ใช้คำต้องห้ามในการยิงโฆษณา Facebook อยู่อย่าลืมเช็คกันด้วย จะได้ไม่เสียเวลานั่งแก้ นั่งติดต่อเจ้าหน้าที่อีก

ลืมจ่ายเงินโฆษณาหรือวงเงินไม่พอ

อันนี้เป็นปัญหาใต้จมูกอย่างมาก และเจอกันเยอะพอสมควร บางคนหาวิธีแก้แต่แก้ยังไงก็ไม่ได้สักที ถ้าคุณผูกบัตรเครดิตไว้ก็อย่าลืมไปเช็ควงเงินให้ดีด้วยว่ามันเต็มรึเปล่า หรือถ้าใช้เป็นตัดบัตรเดบิตก็เช็คด้วยเช่นกันว่ามีเงินพอให้ตัดรึเปล่า ถ้าเกิดวงเงินเต็มหรือเงินในบัตรไม่พอ ก็จะทำให้ไม่สามารถยิงแอดได้เช่นกัน และถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ บัญชีของเราก็จะถูก Facebook เพ่งเล็งว่าเป็นบัญชีไม่มีประสิทธิภาพอีกด้วย อันนี้ต้องระวังให้ดี และหมั่นตรวจสอบวงเงินและเติมเงินโฆษณา Facebook ให้เรียบร้อยกันก่อนที่จะยิงแอด

ในรูปใส่คำต้องห้ามหรือใช้ภาพ Before After

การใช้ภาพ Before After เป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับ Facebook เลย เพราะทาง Facebook เค้าค่อนข้างซีเรียสเรื่องนี้อย่างมาก เนื่องจากว่าจะทำให้เป็นการกำหนดบรรทัดฐานที่ไม่สามารถวัดได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มคลินิกเสริมความงาม ครีม วิตามินต่างๆ ที่ต้องใช้รูปแบบนี้ในการโฆษณา ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเลย ส่วนเรื่องคำต้องห้ามในภาพอย่างเช่น ขาว สวย เสริมขนาด ฯลฯ บอทสามารถอ่านคำพวกนี้ในรูปภาพได้เช่นกัน  สามารถอ้างอิงเรื่องคำต้องห้ามโฆษณา Facebook ได้เลย

เริ่มต้นยิงโฆษณาครั้งแรก

การเริ่มยิงโฆษณาครั้งแรกสุดมักจะเจอในเรื่องของการอนุมัติช้า เท่าที่แอดเคยเจอมานานสุดใช้เวลาตั้ง 1 วัน สาเหตุอาจจะมาจากเราเพิ่งเริ่มยิงครั้งแรก บอทเข้ามาตรวจสอบเพื่อเรียนรู้โฆษณาของเราก่อนว่าผิดกฎหรือไม่ และต้องใช้เวลานานสักนิดเพราะเพิ่งเคยยิงเลย ดังนั้นเพื่อให้บอทรู้จักกับเราก่อนก็อาจจะต้องใช้เวลาสักนิดนึง แต่ถ้านานกว่านั้นให้สันนิษฐานเลยว่าคุณกำลังทำผิดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับกฎโฆษณาอยู่ ให้ย้อนกลับไปเช็คโฆษณาตัวนั้นอีกรอบนึง

Emoji ใส่เยอะเกินไปรึเปล่า

การใส่ Emoji ก็เป็นเรื่องดีที่ทำให้คอนเทนต์ของเราน่าอ่านมากยิ่งขึ้น แต่อะไรก็ตามที่เราทำมันเกินคำว่าพอดีก็ส่งผลเสียได้เหมือนกัน รวมถึงการใส่ Emoji ด้วย เพราะ AI Facebook มีหลากหลายตัว หลากหลายการตรวจสอบ ซึ่งบางครั้งเราจะยิงโฆษณาผ่านบ้าง ไม่ผ่านบ้างก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวไหนจะเข้ามาตรวจสอบ และนอกจากนี้บางคนยังเจอปัญหาในเรื่องของโฆษณาไม่อนุมัติด้วยก็มี ดังนั้นแล้วควรเลือกใช้ Emoji ให้เหมาะสม และใช้แต่พอดีก็พอแล้ว หลักๆ ตัวที่ควรเลี่ยงหรือใส่ให้น้อยที่สุดก็ดูตามรูปภาพด้านล่างได้เลย

Emoji Facebook

อีโมจิที่แอดแนะนำอยากให้เลี่ยงใช้ถ้าไม่มีเหตุจำเป็น

สรุป

นี่คือสาเหตุหลักๆ ที่ส่งผลทำให้โฆษณาของเราวิ่งอืดบ้าง แอดไม่อนุมัติบ้าง เจอปัญหาต่างๆ สารพัด ถ้าคุณเจอปัญหานี้อยู่ก็ค่อยๆ ไล่แก้ไปทีละนิดตามจุดที่มันเกิดปัญหาขึ้น พยายามอย่าทำผิดกฎ Facebook บ่อยๆ ไม่อย่างนั้นเดียวเราจะโดนเพ่งเล็งจากบอททำให้มีปัญหาภายหลังได้


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
8  สิ่งที่คนทำโฆษณา Facebook มักจะพลาดโดนแบน แอดวิ่งอืด

8 สิ่งที่คนทำโฆษณา Facebook มักจะพลาดโดนแบน แอดวิ่งอืด

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

การทำโฆษณา Facebook จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากอันนี้ต้องแล้วแต่เทคนิคและประสบการณ์ของแต่ละคน ซึ่งสำหรับมือใหม่แล้วการทำโฆษณาให้ประสบความสำเร็จในครั้งแรกเลยก็ถือว่ายากสุดๆ รวมถึงมือเก่าที่เก๋าๆ ด้วย แต่ในคลิปนี้จะรวมเรื่องคนทำโฆษณาพลาดและทำให้ส่งผลถึงการโดนแบน หรือโดนลดการมองเห็นด้วยหลากหลายสาเหตุให้ครับ ใครที่ทำโฆษณา Facebook หรือเริ่มที่จะทำอยู่ไม่ควรพลาดเด็ดขาด

1. ใช้คำที่ Facebook ห้าม

คำบางคำ Facebook ไม่อนุญาตให้ใช้เนื่องจากว่าอาจจะผิดกฎหมายของแต่ละประเทศหรือผิดกฎของชุมชน Facebook เอง ซึ่งส่งผลให้เราไม่สามารถยิงโฆษณาได้ ถึงบางครั้งจะยิงเล็ดรอดออกไปได้แต่ไม่นานคุณก็จะโดน Facebook เข้ามาปิดโฆษณาของคุณ และถ้าไม่ยอมแก้ไขหรือปรับปรุงก็จะทำให้เราโดนแบนจาก Facebook ได้เช่นกัน ดังนั้นดูเรื่องคำต้องห้ามของ Facebook ให้ดีด้วยนะครับ

2. ใช้ภาพ Before After

การใช้ภาพ Before After ก็ส่งผลกระทบต่อการยิงโฆษณาด้วยเหมือนกัน เพราะ Facebook จะมองว่าเป็นการทำโฆษณาที่เกินความเป็นจริง และบางครั้งก็ใช้รูปภาพที่แสดงผลลัพธ์แบบเว่อร์เกินไป ทำให้ Facebook มองว่าอาจจะเป็นอันตรายต่อผู้ซื้อได้ จึงได้ทำการลด Reach โพสต์ลักษณะดังกล่าว รวมถึงอาจจะยิงแอด Facebook ไม่ได้เลยด้วย

ภาพ Before After

ตัวอย่างภาพ Before After ที่ไม่ควรใช้ในการยิงโฆษณา Facebook

3. คุณใช้คำว่า Facebook ผิดรึเปล่า ?  

ไม่ว่าจะโลโก้ รูปภาพ หรือแม้กระทั่งแค่ชื่อก็ล้วนแต่เป็นเครื่องหมายการค้าทั้งนั้น เหมือนกันกับ Facebook ที่บางคนอาจจะชอบใส่ #Facebook หรือมีคำว่า Facebook อยู่ในโพสต์ แต่ทีนี้พอเราจะยิงโฆษณาโพสต์นั้นปุ๊บกลายเป็นว่าต้องให้แก้ไขโฆษณาเพราะไม่ผ่านเงื่อนไข ลองย้อนกลับไปเช็คดูในโพสต์อีกครั้งว่า Facebook คำนำหน้าเราใช้ตัว F เป็นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ที่ถูกต้องคือต้องเป็น F ตัวใหญ่และค่อยพิมพ์ตัวเล็ก พอแก้เสร็จแล้วเดียว Facebook ก็จะอนุมัติให้เราเอง

4. ใส่ Emoji เยอะเกินก็โดนลดการมองเห็นหรือยิงแอดไม่ไปก็ได้

การใส่ Emoji เยอะบางครั้งถ้าโพสต์ปกติอาจจะเจอปัญหาเรื่องลดการมองเห็นบ้างเป็นบางครั้ง หรือไม่ก็พอยิงโฆษณาปุ๊บ แอดวิ่งอืดบ้าง แอดมีปัญหาบ้าง เนื่องจากว่า AI ที่ตรวจสอบ Facebook ก็มีหลายตัว แต่ละตัวก็เหมือนกับคนที่มาตรฐานอาจจะต่างกัน แต่ถ้าคุณไม่อยากเจอปัญหาเรื่องพวกนี้เลยแนะนำว่าให้ใส่ Emoji แต่พอประมาณและซ้ำกันไม่มากก็พอ เพราะเดียวบอทจะมองว่าเรากำลังจะ Spam ได้

5. ขายเครื่องมือทางการแพทย์ก็ไม่ได้

สำหรับ Facebook พวกเครื่องมือทางการแพทย์ไม่อนุมัติให้ขายได้เลย ไม่ว่าจะประเทศไหนก็ตามรวมถึงไทยด้วย เพราะเนื่องจากว่ามันอาจจะเป็นอุปกรณ์ที่เฉพาะทางหรือนำไปใช้ในทางที่ผิด รวมถึงบางประเทศอาจจะต้องมีการขออนุญาตอย่างถูกต้อง Facebook จึงไม่อนุญาตให้ขายบนแพลตฟอร์มเลย รวมถึง “แมส” ก็ไม่สามารถยิงโฆษณาได้เหมือนกัน แต่ถ้าคุณเคยเห็นโฆษณาแมสแล้วล่ะก็ คนเหล่านี้อาจจะใช้วิธีเลี่ยงการตรวจจับจาก AI หรือสร้างความสับสนให้กับ AI ด้วยรูปภาพได้ แต่ดีเทลแอดไม่ขอลงรายละเอียดลึกมากนะ เดียวเอาไปใช้กันแบบผิดๆ ได้

คอร์สเรียนยิงโฆษณา Facebook พร้อมของแถมเฉพาะนักเรียนและเทคนิคพิเศษมากมาย

6. จ่ายเงินโฆษณาไม่ตรง บัตรไม่มีเงินให้ตัดก็อาจโดนปิดบัญชีโฆษณาได้

แน่นอนว่าการที่เราจะซื้อสินค้าหรือบริการอะไรสักอย่าง เราก็ต้องใช้วิธีการแลกเปลี่ยนกัน ในที่นี้ก็คือเงิน ถ้าเราผูกบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตไว้ ทีนี้พอยิงแอดออกไปแล้วจนครบตาม Budget ที่เรากำหนด และถึงเวลาที่ Facebook จะเข้ามาเก็บเงินของเราแต่เราไม่มีเงินจ่าย พอเราทำแบบนี้หลายครั้งเข้าอาจจะโดนปิดบัญชีโฆษณาได้ ดังนั้นแล้วเนี่ยเช็ควงเงินบัตรเครดิตและบัตรเดบิตของเราไว้จ่ายค่าโฆษณา Facebook ให้เรียบร้อยด้วยนะ

7. อัดงบโฆษณามากเกินไป แอดจะเอ๋อเอาได้

อย่าลืมว่า Facebook ถูกตรวจสอบด้วยระบบ AI อยู่แล้ว หากเราเคยยิงแอดวันละ 1000 บาท ต่อเนื่องกันตลอดๆ แล้วอยู่ๆ วันนึงแอดดีมากเลยอัดเข้าไป 5000 บาท แน่นอนส่วนใหญ่แอดเงียบทันที เพราะ AI จะมองว่าเรามีพฤติกรรมทางการเงินที่ผิดปกติ ทางแก้ที่แอดอยากแนะนำคือ ค่อยๆ เพิ่มงบโฆษณาเอาดีกว่า อย่างน้อยสัก 10 – 15% ก็เพียงพอแล้ว และทำให้ระดับเท่าเดิมอย่างต่อเนื่อง ก็จะช่วยให้ AI ที่ตรวจสอบจะได้เรียนรู้พฤติกรรมเกี่ยวกับงบโฆษณาของเราอีกครั้งหนึ่ง

8. ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เสี่ยงต่อการโดนแบน + ลดการมองเห็นการเข้าถึง

ช่วงหลังๆ ตลาดโฆษณา Facebook มีการแข่งขันที่ดุเดือดอย่างมาก รวมถึงทาง Facebook เองก็มีความเข้มงวดเรื่องของการโฆษณาขึ้น และจะทำการลบหรือลดการมองเห็นโฆษณาที่ไม่มีประสิทธิภาพลง เช่น

– โฆษณาเชิญชวนกดไลค์ กดแชร์

– โฆษณาที่เข้าข่าย Clickbait

– โฆษณาที่คล้ายกับ Spam อาจจะย้ำคำ ย้ำประโยคเยอะเกินไป

– โดนรีพอร์ตโฆษณาซ้ำๆ หลายครั้งจากผู้ใช้งาน

ดังนั้นแล้วเนี่ย อะไรที่ Facebook ไม่ชอบหรือผิดกฎ Facebook ก็พยายามเลี่ยงอย่าไปทำกันนะครับ โดยเฉพาะเรื่องของยิงแอดไปแล้วเชิญชวนกดไลค์ กดแชร์ เท่าที่แอดเคยลองมารู้สึกเห็นได้เลยว่าโฆษณาวิ่งอืดมากๆ เลย

ฟังเรื่อง “8  สิ่งที่คนทำโฆษณา Facebook มักจะพลาดโดนแบน” ผ่าน YouTube

สรุป

8 ปัญหาเหล่านี้คือปัญหาหลักๆ ที่ทำให้เกิดโดน Facebook ลดการมองเห็นรวมถึงอาจจะยิงโฆษณาไม่ผ่านเลยก็มี ถ้าหนักข้อผิดกฎชุมชน Facebook บ่อยๆ ก็ถึงขั้นโดนแบนได้เลย ดังนั้นแล้วเนี่ยใครที่คิดจะยิงโฆษณาหรือโพสต์อะไร ก็ศึกษากฎชุมชนบน Facebook ให้ดีกันด้วยนะครับ


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
Facebook Business Suite เครื่องมือเดียวครบ จบทุกฟีเจอร์

Facebook Business Suite เครื่องมือเดียวครบ จบทุกฟีเจอร์

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

หลังจากที่ Facebook ได้ยกเลิกเครื่องมือหลายๆ ตัวออกไปไม่ว่าจะเป็น Audience Insight Facebook Analytics ก็ทำให้หลายคนไม่รู้จะหันไปทางไหน และไม่รู้จะเอาเครื่องมืออะไรมาแทนที่มันดี แต่ถึงแม้ตอนช่วงที่ Facebook ยกเลิกเครื่องมือเหล่านี้ไปแต่ก็ได้เอา Facebook Business Suite มาให้แทน แล้วมันมีฟีเจอร์อะไรบ้าง เรามาดูพร้อมกันเลย

Facebook Business Suite เครื่องมือเดียวครบ จบทุกฟีเจอร์ (กดเลือกอ่านได้)

รู้จักกับ Facebook Business Suite

Facebook Business Suite คือเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณจัดการบัญชี Facebook และ Instagram ได้ทั้งหมด จบครบในตัวเดียว ไม่ว่าคุณจะมีกี่ 10 กี่ 100 เพจก็สามารถใช้เครื่องมือนี้จัดการได้ จากเดิมที่ต้องสลับแอคเคาท์นุ้นที นี้ที คราวนี้ไม่ต้องสลับไปสลับมาให้ปวดหัวกัน และง่ายต่อการจัดการข้อมูลต่างๆ ด้วย

Facebook Business Suite ใช้ได้บนอุปกรณ์ไหนบ้าง

สำหรับตัว Facebook Business Suite สามารถใช้ได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ โดยสามารถเข้าไปดาวน์โหลดตาม App Store และ Play Store ได้เลย ส่วนบนคอมนั้นเราต้องเข้าไปที่หน้าเพจก่อนแล้วมันจะมีให้เราเลือกเข้าไปสู่ Facebook Business Suite

ฟีเจอร์ของ Facebook Business Suite

ดูภาพรวมของธุรกิจเราแบบคร่าวๆ

ไม่ว่าจะเป็นผลลัพธ์ของโพสต์ เนื้อหา กลุ่มเป้าหมาย และเราเลือกดูรายงานตามวันที่เราต้องการได้ด้วยทั้งบนเพจ Facebook และบัญชี Instagram ของเรา

ดูกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนเพจหรือบน Instagram

ดูการแจ้งเตือนต่างๆ ผ่านหน้า Facebook Business Suite ได้ด้วยเช่นกัน สะดวกอย่างมากในการติดตามข่าวสารไม่ว่าคนคอมเมนต์โพสต์ กดไลค์ กดแชร์ รวมถึงคนที่ Mention เพจเรา

ดูกล่องข้อความได้ง่าย

หากคุณมีหลายเพจ ตัวเครื่องมือ Facebook Business Suite จะช่วยอำนวยความสะดวกให้เราได้เป็นอย่างมาก เพราะเราจะสลับบัญชีเพจหรือ Instagram ได้เลยทันที เพียงแค่กดตรง Drop Down แล้วเลือกบัญชีที่เราต้องการเท่านี้ก็ไล่ตอบแชทได้อย่างทันใจแล้ว

สร้างโพสต์และสตอรี่ก็ง่าย

การสร้างโพสต์และสตอรี่ของเราจะทำง่ายขึ้น เนื่องจากว่า Facebook ได้มีการอัพเดทเครื่องมือ “การวางแผน” เราสามารถเข้าไปเลือกปฏิทินและสร้างคอนเทนต์ที่จะโพสต์ไว้ล่วงหน้าได้เช่นกัน มันช่วยให้เราวางแผนการโพสต์เนื้อหาลงในเพจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยทำบน Facebook  Business Suite ได้ทันที

ทำโฆษณาได้ง่ายขึ้น

เราสามารถสร้างชุดโฆษณาได้จากหน้า Facebook Business Suite ได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องเข้าไปที่หน้าจัดการโฆษณา พร้อมทั้งดูประสิทธิภาพของโฆษณาที่เราปล่อยไปได้จากหน้านี้ได้ด้วย

เครื่องมืออื่นๆ

หากกดไปที่แท็บเครื่องมือของหน้า Facebook Business Suite จะมีเครื่องมือหลากหลายชนิดให้เราได้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างกลุ่มเป้าหมาย ตัวจัดการเหตุการณ์ นัดหมาย ตั้งค่าร้านค้า และอื่นๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่าตัวเดียวดือจบทุกปัญหาจริงๆ ยิ่งใครเป็นสายขายของออนไลน์แล้ว เพจที่มีก็คงไม่ใช่น้อยๆ งานนี้ตัว Facebook Business Suite นี่แหละจะมาเป็นพระเอกให้กับเราเอง

สรุป

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของ Facebook นับได้ว่าสร้างความสะดวกให้กับผู้ใช้งานอย่างมาก แต่เสียอย่างเดียวตรงที่เดิมเครื่องมือ Facebook Audience Insight มันช่วยให้เราดูกลุ่มเป้าหมายของเราคร่าวๆ ได้ แต่ตอนนี้เราจะดูได้เพียงแค่เพจของเราเท่านั้น แต่มันก็สามารถนำมาต่อยอดและช่วยวิเคราะห์ได้ระดับหนึ่งแล้ว ส่วนใครมีความคิดเห็นยังไง ก็มาพูดคุยกันผ่านเพจ Facebook Marketing In Secret กันได้เลย


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
คุณกำลังโดนตัดราคาอยู่รึเปล่า ? ถ้าคุณโดนอยู่ ลองทำสิ่งนี้ดู

คุณกำลังโดนตัดราคาอยู่รึเปล่า ? ถ้าคุณโดนอยู่ ลองทำสิ่งนี้ดู

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

การขายของไม่ว่าจะอยู่ในธุรกิจไหนหรือขายอะไร ยังไงก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการตัดราคาเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แล้วเป็นปัญหาที่หลายคนมักจะปวดหัวและแก้ไม่ตก สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมแพ้และถอยออกจากตลาดตรงนี้ไป ในคลิปนี้ถ้าคุณขายของอยู่ และเจอปัญหาการตัดราคา แอดแนะนำว่าควรดูให้จบ เพราะมันเอาไปใช้จริงๆ ได้อย่างแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเอาไปประยุกต์ใช้ยังไง

สาเหตุที่ทำให้เกิดการตัดราคา

สาเหตุที่ทำให้เกิดการตัดราคาขึ้นก็มีมาจากหลายสาเหตุ ซึ่งหลักๆ ก็จะมี

  1. ตัดราคาต่ำเพื่อเน้นปริมาณ เน้นสร้างฐานลูกค้า
  2. ตัดราคาเพื่อให้ตัวเองขายดีกว่าคู่แข่ง
  3. ปัญหาเรื่องการหมดอายุของสินค้า จึงต้องรีบระบายออก

ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาหลักๆ ของการตัดราคาเลยก็ว่าได้ แต่ส่วนใหญ่เชื่อว่าคนขายหรือคนทำธุรกิจมักจะเจอในข้อ 1 และข้อ 2 มากกว่า งั้นเรามาดูวิธีแก้ไขกันครับ

วิธีการแก้เมื่อคุณโดนตัดราคา

1. ไม่สนเรื่องตัดราคา

การทำแบบนี้เป็นวิธีกำปั้นทุบดินมากๆ พูดง่ายๆ คือ ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เราก็ขายตามปกติไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรื่องการตัดราคามันเกิดขึ้นกับบางสินค้าอยู่แล้ว แต่ทีนี้บางสินค้าถึงตัดราคาไปก็ไม่ค่อยมีผลกระทบอะไรมากนัก ถ้าไม่ตัดกันแบบ 30 – 50% เลยอะไรแบบนั้น ซึ่งหลายคนจะเน้นว่าขายเอากำไร ไม่ได้ขายเอาจำนวน ถ้าตัดกันไม่หนักมาก 2 บาท 5 บาท 10 บาท ถ้าไม่จำเป็นเราก็ปล่อยไปเลยก็ได้

2. เสริมให้เด่นเรื่องบริการ

สิ่งที่จะดึงดูดลูกค้าได้เป็นอย่างดีอีกอย่างคือ การบริการหลังการขาย เพราะแอดสังเกตช่วงหลังๆ มาเนี่ย ลูกค้าเวลาซื้อของแล้วมีปัญหา ถ้าทางร้านมี Service ดีๆ หน่อย และได้รับรีวิวเกี่ยวกับด้านบริการที่ดีจากลูกค้า ก็จะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น ถึงแม้จะโดนตัดราคา แต่พฤติกรรมผู้บริโภคไม่ได้เห็นแก่ของถูกอย่างเดียว มีหลายคนที่ให้ความสำคัญกับทั้งคุณภาพและบริการด้วยเหมือนกัน

3. จัดแพ็คสินค้าไปเลย

การจัดแพ็คสินค้าเป็นการนำสินค้าที่มีลักษณะใกล้เคียงกันมาจับคู่กันเลย เพื่อเป็นการเพิ่มอัตราการขายสินค้า และทำให้คู่แข่งอาจจะไม่ทราบราคาสินค้าที่แท้จริงได้ถ้าเราไม่ลงขายเพียงแค่ตัวเดียวเดี่ยวๆ

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ ที่ทำจัดแพ็คได้ เช่น Boots จัดเซตสำหรับดูแลสุขภาพผิว เพียงซื้อ 2 ชิ้น 199 บาท สามารถคละกันได้ เป็นต้น

สินค้าจาก boots

ขอขอบคุณรูปภาพจากเพจ Boots Thailand

4. จับมัดรวมหลายๆ ชิ้น

วิธีนี้ก็สามารถใช้ได้ดีเช่นกัน แต่มักจะเป็นสินค้าที่ซื้อเป็นปริมาณมาก การทำแบบนี้นอกจากจะสะดวกลูกค้าแล้ว ยังทำให้เราปล่อยสินค้าได้จำนวนมากๆ ใน 1 ครั้ง แอดยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ ก็ แมส KF94 ที่ตอนนี้ตลาดตัดราคากันสนุกสนาน และเห็นหลายคนบ่นเหมือนกันว่าได้กำไรบางที 50 สตางค์ 1 บาทบ้าง แต่บางคนแก้ด้วยการจัดเซต 5 แพ็ค ราคา 100 บาท ทำให้ได้กำไรเพิ่มมากขึ้น และยังช่วยดึงดูดลูกค้าเนื่องจากลูกค้าบางคนคิดว่าจัดโปร จึงทำให้หยุดอ่านและพิจารณาตัดสินใจซื้อได้เช่นกัน

แจกฟรี E-Book12 Tip&Trick รู้จักประยุกต์ใช้ สร้างขั้นบันไดสู่ความสำเร็จ

5. หาสินค้าทำกำไรเพิ่ม

ไม่มีสินค้าไหนที่จะขายดีได้ตลอดชีวิตของมันแน่ๆ เราต้องยอมรับว่าสินค้าทุกชิ้นทุกประเภทย่อมมีช่วงอายุของมัน ไม่มีอะไรที่ขายแล้วได้กำไรตลอด ให้นึกถึงกราฟ Product Life Cycle ไว้

Product Life Cycle

หากสินค้าที่เราขายอยู่พบว่าโดนตัดราคารุนแรงเกินไป และรู้ว่าเราไม่สามารถทำราคาสู้คู่แข่งได้ขนาดนั้น เริ่มต้นก็ให้เราดูท่าทีไปก่อน แต่ถ้าประเมินแล้วไม่รอดแน่ๆ ก็ให้รีบระบายสต็อกออกไปทันที แล้วหาสินค้าใหม่ๆ มาทดแทนให้เป็นสินค้าขายดีประจำร้านไป

ซึ่งการหาสินค้าทำกำไรเพิ่มนั้น ถึงคุณจะไม่โดนตัดราคา แต่ใครที่ยังขายไม่ดี หรือต้องการเพิ่มยอดขายก็สามารถใช้วิธีนี้ได้ทั้งนั้น แต่ต้องยอมรับว่ามันไม่ได้หาง่ายๆ ต้องใช้เวลาในการหาและการขายสักนิด ที่สำคัญสินค้าร้านอื่นชิ้นนั้นชิ้นนี้ขายดี แต่บางครั้งเราเอามาอาจจะขายไม่ได้เลยก็มี อันนี้ต้องคิดเผื่อไว้หน่อยว่าเราเอามาสามารถทำการตลาดไหวหรือไม่

แต่สำหรับบางแพลตฟอร์มก็จะมีข้อมูลสินค้าขายดีมาให้ ดังรูปตัวอย่างด้านล่างของ Lazada ที่จะบอกว่าช่วงโปร 11.11 12.12 จะมีอะไรขายดีบ้าง

Lazada Happy Selling

รูปภาพจาก Lazada Happy Selling

6. เช็คสินค้าของเราจากมุมของผู้บริโภค

การตัดราคาบางครั้งมันก็ไม่ได้มีแต่ข้อดี และลูกค้าจะตัดสินใจซื้อได้เสมอไป โดยเฉพาะสินค้าที่มีมูลค่ามากๆ เมื่อทำการตัดราคาปุ๊บ ลูกค้าย่อมสงสัยแน่ๆ ว่าใช่ของแท้หรือไม่ ? ถ้าสินค้าของคุณเป็นสินค้าที่ต้องใช้ความเชื่อใจจากผู้บริโภค สิ่งที่ต้องทำเลยคือ ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นว่าของคุณมีคุณภาพ แบรนด์แท้ และเป็นไปตามมาตรฐาน ดีกว่าไปนั่งปวดหัวกับการตัดราคา เพราะลูกค้าก็ไม่ได้เน้นการซื้อของถูกอย่างเดียวซะหน่อย

7. สร้างการจดจำของแบรนด์ร้านค้าตั้งแต่ตอนนี้

สิ่งที่สำคัญทำให้ลูกค้าสามารถจดจำเราได้ก็คือแบรนด์นั้นเอง คุณอาจจะบอกว่าแบรนด์นี่มันต้องทำสินค้าตัวเองรึเปล่า ? จริงๆ เราไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ดูอย่าง 7-11 ที่มีสินค้าหลากหลาย แต่คนก็ยังจดจำได้ว่าเป็นร้านสะดวกซื้อที่มีสินค้ามากมายหลายชนิดให้เลือก ดังนั้นแล้วคุณอาจจะสร้างการจดจำชื่อแบรนด์ร้านค้าของคุณให้ลูกค้าได้รู้จักว่าร้านคุณขายอะไร มีบริการอะไรเด่น และสินค้าอะไรบ้างที่เป็น Highlight พอลูกค้าเริ่มรู้จักคุณแล้ว การตัดราคามันก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป

ฟังเรื่อง วิธีแก้เรื่องการตัดราคาสินค้าผ่าน YouTube

สรุป

สำหรับใครที่ดูจบแล้ว และเจอปัญหาของเรื่องการตัดราคาอยู่ก็อย่าเพิ่งกังวลไป ทุกปัญหามันย่อมมีทางออก ค่อยๆ คิด ค่อยๆ แก้ไขไป ลองเอาแนวทางเหล่านี้ไปปรับใช้กันดู เชื่อว่าผลลัพธ์มันออกมาได้ดีแน่นอน ยิ่งในเรื่องของการปั้นแบรนด์ร้านค้าสำหรับคนที่มีสินค้าหลาย SKU แล้ว แนะนำเป็นอย่างยิ่งว่าให้ทำเลยหลังจากจบคลิปนี้ ยิ่งคุณทำได้เร็วเท่าไหร่ ก็มีโอกาสคว้าใจลูกค้า และมันจะเป็นตัวชูโรงที่เพิ่มยอดขายให้คุณได้แบบก้าวกระโดดอย่างแน่นอน


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
Shopping cart0
There are no products in the cart!
Continue shopping