Evergreen Content Vs Tropical Content แบบไหนทำ SEO ดีกว่ากัน ?

Evergreen Content Vs Tropical Content แบบไหนทำ SEO ดีกว่ากัน ?

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

ในการทำเว็บไซต์ไม่ใช่เพียงแค่ตกแต่งให้สวยงาม สร้างหน้าต่างๆ ขึ้นมา เขียนข้อความลงไปนิดหน่อยแล้วจะติดอันดับ Google ได้ ยกเว้นแต่ว่าเว็บที่เราทำนั้นมีความเฉพาะเจาะจงจริงๆ และคีย์ที่เราใส่ไว้ในเว็บไม่มีคนอื่นทำเลย เราเป็นเจ้าเดียวในตลาดที่ทำได้ แบบนั้นก็จะพอติดหน้าแรกของ Google อยู่ได้เหมือนกัน

แต่สำหรับเว็บทั่วๆ ไปการจะติดอันดับในคีย์เวิร์ดต่างๆ ได้ เราก็จำเป็นจะต้องเขียนบทความเติมลงในเว็บของเราเรื่อยๆ เพื่อให้ Google ช่วย Index และนำไปแสดงผลการค้นหาอีกที และประเภทของ Content บนเว็บไซต์ก็จะมีด้วยกัน 2 ประเภท แล้วถ้าอยากติดอันดับใน Google จะเขียนประเภทไหนดี

Evergreen Content Vs Tropical Content แบบไหนทำ SEO ดีกว่า (กดเลือกอ่านได้)

ในการเขียนบทความหากคุณเป็นคนที่ทำ SEO อยู่แล้วจะสามารถแยกแยะประเภทบทความที่เขียนได้โดยทันทีว่าเป็นคอนเทนต์ประเภทไหน แต่ถ้าเกิดคนไม่เคยทำสาย SEO เลยอาจจะดูไม่ออกว่ามันก็เขียนเหมือนกัน เนื้อหาก็คล้ายเคียงกัน แต่ความเป็นจริงแล้วมันมีความแตกต่างในด้านอายุของบทความนั้นๆ อยู่ ทำให้เราต้องแยกประเภทมันออกมาเพื่อให้กำหนดเรื่องที่จะเขียนได้ว่าคืออะไร

สำหรับประเภทแรกคือ Evergreen Content

Evergreen Content คือ คอนเทนต์ประเภทที่จะมีคนค้นหาอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ตาม เพราะเป็นคอนเทนต์ที่ไม่มีความเสื่อมคลายในการค้นหา ทำให้เมื่อเราเขียนบทความประเภทนี้แล้วมันจะมี Traffic เข้ามาอยู่เรื่อยๆ ไม่มีการตกอันดับ ยกเว้นแต่ว่าคุณมีการปรับปรุงเนื้อหาผิดหลักการหรือปล่อยไม่มีการอัพเดทเลย อันนี้ก็คงอันดับร่วงและไม่มี Traffic เข้ามาอย่างแน่นอน

ยกตัวอย่างหัวข้อเนื้อหา Evergreen Content เช่น

  • ต้นไม้ที่ช่วยฟอกอากาศได้
  • สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในกรุงเทพ ฯ
  • วิธีแก้อาการปวดฟัน
  • วิธีเลี้ยงหมาไซบีเรียนฮัสกี้

ถ้าสังเกตดีๆ และคิดถึงการสร้างเนื้อหาจากหัวข้อที่ได้ยกตัวอย่างไปจะพบว่า เนื้อหาที่เขียนไปค่อนข้างมีความตายตัวและเรื่องเหล่านี้ก็มีอัตราการค้นหาอยู่ตลอดเวลา ช่วงนึงอาจจะตกไปบ้างแต่มันไม่ถึงขั้นไม่มีคนค้นหาเลย

ในฝั่งของ Marketing In Secret เองก็ได้มีการทำคอนเทนต์ประเภท Evergreen เป็นหลัก เพราะต้องการให้เนื้อหาของเราได้เป็นประโยชน์กับผู้อื่น ทั้งเกี่ยวกับการทำโฆษณาผ่าน Facebook และความรู้เกี่ยวกับการตลาดด้านอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น

จากตัวอย่างที่แอดได้ยกมานั้นหากใครได้กดเข้าไปอ่านจะสังเกตได้ว่าคอนเทนต์เหล่านี้จะมีการค้นหาอยู่ตลอดเวลาไม่เสื่อมคลาย และนี่เองก็คือคอนเทนต์ประเภท Evergreen Content

มาดูในฝั่งของ Tropical Content กันบ้างว่าคืออะไร

Tropical Content คือ คอนเทนต์ประเภทกระแสกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ หัวข้อที่กำลังเป็นประเด็นหรือกำลังเป็นไวรัลอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ อยู่ หากให้เห็นภาพง่ายๆ เลยคือมันจะเป็นคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับข่าวนั้นเอง

ยกตัวอย่างคอนเทนต์ประเภท Tropical Content เช่น

  • โมเมนต์สุดประทับใจ นักกีฬาไทยชนะเลิศในการแข่งขันระดับโลก
  • เปิดตัวแพลตฟอร์มช้อปปิ้งใหม่ล่าสุด
  • น้องหมา “เจ้าโบ้” สุดฉลาด !! สามารถทำตามคำสั่งเจ้าของได้ทุกอย่าง
  • กำลังโด่งดังใน YouTube เปิดวาปน้องแมวตาฟ้า

 ข้อดีของ Tropical Content

  • ทำได้ง่ายเพราะใช้คอนเทนต์แบบ Real Time ได้เลย
  • ได้ Traffic ที่พุ่งสูงอย่างมาก
  • เทียบกับ Evergreen แล้ว ตัว Tropical Content ทำได้ง่ายกว่ามาก
  • หนึ่งวันสามารถเขียนได้เยอะกว่า Evergreen Content

ในการทำเว็บไซต์และถ้าคุณต้องการทำ SEO ก็ต้องดูก่อนว่าจุดประสงค์ของเว็บเราสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อที่เราจะได้เลือกทำประเภทคอนเทนต์ได้อย่างเหมาะสม หากเป็นเว็บสำหรับข่าวหรือเขียนเรื่องราวทั่วไป การเขียน Tropical Content อาจจะมีความเหมาะสมมากกว่า เพราะเว็บของเราต้องมีเนื้อหาแบบ Real Time ทันกระแสและทันต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน

สรุป

ถ้าหากเป็นในแนวบริษัทหรือว่าเว็บที่สอนเรื่องต่างๆ เว็บไซต์ขายของ อาจจะใช้ Evergreen Content จะดูเหมาะสมมากกว่า เพราะจะทำให้เราได้ Traffic ระยะยาว ไม่ว่าเรายุ่งและไม่ได้เติมคอนเทนต์ใหม่ๆ มันก็ยังมี Traffic จากบทความเดิมอยู่ แต่สุดท้ายแล้วการเขียนคอนเทนต์ก็ไม่ได้ตายตัว แนะนำว่าให้ลองวางแผนใช้คอนเทนต์ทั้ง 2 ประเภทให้เหมาะสมกับสถานการณ์จะดีกว่า เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการทำ SEO ที่สุด รวมถึงเหมาะสมกับผู้อ่านอีกด้วยเช่นกัน


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
8 วิธีปรับ Speed เว็บไซต์ปรับอย่างไรให้โหลดไวสุดๆ

8 วิธีปรับ Speed เว็บไซต์ปรับอย่างไรให้โหลดไวสุดๆ

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

ใครที่ทำเว็บไซต์ก็มักจะเน้นในเรื่องของการทำเว็บไซต์ให้สวยงามและทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ เพื่อเป็นการเพิ่ม Traffic และเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจได้จากการค้นหาของลูกค้า หนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อการทำ SEO นั้นก็คือ “Speed เว็บไซต์” ยิ่งโหลดเร็วมากเท่าไหร่ก็ส่งผลดีต่อ User และเว็บของเรามากเท่านั้น ค่าเฉลี่ยที่ Google แนะนำคือไม่เกิน 2.5 วิในการโหลดเว็บไซต์ และเราจะทำอย่างไรดี ลองดูวิธีปรับสปีดเว็บไซต์กัน

1. เลือกใช้ Plugin เท่าที่จำเป็นก็พอ

การใส่ Plugin สำหรับเว็บไซต์ที่สร้างด้วย WordPress ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะขาดไม่ได้เลยเด็ดขาด เพราะการที่เว็บหนึ่งจะสมบูรณ์ได้ก็ไม่ใช่ใช้ Theme ของมันอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีตัว Plugin เป็นส่วนประกอบด้วย ก่อนที่เราจะสร้างเว็บไซต์ลองพิจารณาดูก่อนว่าตัวไหนเหมาะสมกับเว็บเราที่สุดให้เลือกใช้ไม่กี่ตัวก็พอ หาก Plugin เยอะเกินไปนอกจากมันจะตีกันทำให้เว็บรวนได้แล้ว ยังส่งผลทำให้เว็บช้าอีกด้วย

2. เลือก Theme ดีๆ ที่เหมาะสม

Theme ใน WordPress มีให้เลือกมากกว่า 10,000 แบบ แต่ที่นิยมใช้กันจริงๆ มีไม่กี่ 100 เท่านั้น และในการเลือกซื้อธีมแต่ละทีเราต้องดูจำนวนผู้ใช้งาน รีวิว วันที่อัปเดต เวอร์ชั่นที่รองรับ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อการเลือกซื้อทั้งนั้น หาก Theme ที่คุณสนใจมีการอัปเดตตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วก็ไม่ควรซื้อ เพราะตัว WordPress มีการอัปเดตอยู่เป็นประจำ หากไม่ได้อัปเดตก็จะทำให้เกิดช่องโหว่และโดนโจมตีเว็บไซต์ได้ ส่วนในไทยก็จะมี Theme นิยมหลักๆ อาทิเช่น

  • Divi Theme (Marketing In Secret ก็ใช้)
  • Flatsome
  • Astra
  • Seed Theme (Theme ของคนไทย)
  • Avada

โดยปกติธีมยอดนิยมต่างๆ จะมีการจัดการพวกโค้ดดีในระดับหนึ่ง ทำให้ความเร็วเป็นไปตามมาตรฐานอยู่แล้ว ยกเว้นแต่คุณไปตกแต่งเพิ่มลูกเล่นก็จะทำให้เว็บช้าลงได้

3. Plugin พวก Page Builder ก็ทำให้ช้าได้

ตัว Plugin จำพวก Page Builder ที่โหลดเสริมมาเพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ของเรานั้นมันจะมีโค้ดที่เขียนไว้ข้างในเยอะแยะมากมาย โดยยิ่งโค้ดต่างๆ มีมากเท่าไหร่ก็ส่งผลให้เว็บของเราโหลดช้ามากขึ้นเท่านั้น แต่ข้อดีของมันก็คือทำให้เราออกแบบเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องโหลดมาใช้ก็ได้

4. บีบขนาดรูปภาพก่อนอัพลงเว็บ

ขนาดรูปภาพของเว็บไซต์ก็มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อความเร็วของเว็บไซต์ ยิ่งไฟล์รูปมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่เวลาในการโหลดเว็บก็จะมากขึ้นเท่านั้น เพราะมันต้องโหลดองค์ประกอบภาพให้ครบถ้วนถึงจะแสดงผลได้ ดังนั้นเราควรจะบีบขนาดรูปภาพให้เล็กลงไม่ให้มันใหญ่เกินไป ขนาดที่แนะนำคือไม่ควรเกิน 100kb ถ้าบีบแล้วไม่เล็กลงน้อยกว่านั้นก็ไม่เป็นไร

คุณสามารถบีบขนาดไฟล์ให้เล็กลงได้หลายแบบคือ

– ใช้ Photoshop ในการบีบขนาดไฟล์ให้เล็กลงได้เช่นกันในขั้นตอนเซฟเราปรับได้ว่าจะให้มันมีขนาดเท่าไหร่ตรงกรอบสีแดงรูปด้านล่างเลย

ปรับรูปด้วย Photoshop

– ใช้ TinyPNG ในการบีบขนาดรูปภาพ เพียงแค่คุณโยนรูปลงไปแล้วมันก็จะบีบขนาดไฟล์ให้เองอัตโนมัติ

เว็บบีบขนาดรูป

– ถ้าอยากปรับขนาดรูปภาพด้วยและบีบไฟล์ด้วย ลองใช้ iloveimg ดู สะดวกเหมือนกัน มีฟังก์ชันฟรีให้เลือกใช้งานเยอะมากๆ

5. ใช้ Plugin ช่วยในการจัดการ

การทำเว็บด้วย WordPress หรือทำเว็บที่ไม่ใช้ WordPress ในการทำ มันก็จะมีเรื่องของโค้ด ข้อมูลต่างๆ มากมายซ่อนอยู่เบื้องหลังเต็มไปหมด แต่สำหรับเว็บที่สร้างด้วย WordPress จะมีความง่ายกว่าตรงที่ว่าเราใช้ Plugin ในการจัดการได้ ส่วนใหญ่มักจะใช้ตัว WP Rocket ในการจัดการปรับตั้งค่าเว็บไซต์กันเป็นส่วนใหญ่ ทำได้ตั้งแต่เคลียร์แคช จัดการโค้ด CSS, JS ทำ Preload และอื่นๆ อีกมากมาย ราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 49$ ต่อปีเท่านั้น

WP Rocket

6. เชื่อมต่อ CDN เข้ากับเว็บไซต์ของเรา

CDN คือ ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ของเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก โดยกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ หากเว็บไซต์ของเราทำ CDN ไม่ว่าผู้ใช้งานจะเข้าเว็บเราจากที่ไหนของโลกก็จะเชื่อมต่อได้อย่างรวดเร็ว และยังเป็นการช่วยให้เว็บเราโหลดเร็วขึ้นแม้จะอยู่ในประเทศของตัวเองก็ตาม รวมถึงมีความปลอดภัยของข้อมูลสูงอีกด้วย และผู้ให้บริการที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้กันคือ Cloudflare

7. ถ้าเว็บของเราหรือเนื้อหายาว ให้ทำ Lazy Load

การทำ Lazy Load จะเหมาะกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาและรูปภาพเป็นจำนวนมากๆ ในหน้าเดียว เพราะมันจะช่วยไม่ให้ตอนที่เราเข้าเว็บโหลดข้อมูลทีเดียวทั้งหมด แต่มันจะให้โหลดทีละส่วนตามการเลื่อนของเราเท่านั้น ทำให้เว็บไซต์ของเราไม่เปิดช้าจนเกินไปและไม่เสียคะแนน Core Vital มากมายนัก

8. เลือก Hosting ที่ดีก็สำคัญ

การเลือก Hosting ไม่ใช่แค่เค้ามีบริการเกี่ยวกับด้านนี้แล้วเราใช้บริการโดยไม่ศึกษาก่อน เพราะ Hosting แต่ละเจ้าก็มีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับจุดเด่นของเจ้านั้นๆ หากเว็บไซต์ของคุณถูกสร้างด้วย WordPress เป็นหลักก็แนะนำให้เลือก Hosting ที่มีการให้บริการด้านนี้โดยเฉพาะ ส่วนใครไม่รู้จะเลือกเจ้าไหน แนะนำให้ลองไปอ่านบทความ แนะนำการเลือกโฮสติ้งสำหรับ WordPress เลย

สรุป

ในเรื่องของการปรับ Speed Website ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งกับการทำ SEO เนื่องจากว่ามันส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งานโดยตรง ให้ลองคิดว่าถ้าคุณเข้าเว็บไซต์แห่งหนึ่งที่ต้องรอโหลดเว็บนานกว่า 5 วินาที ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ก็คงกดออกหนีหมด และเกิดเป็น Bounce Rate ที่เสียต่อเว็บไซต์ขึ้น ส่งผลให้ Google มองว่าเว็บเราไม่มีประสิทธิภาพจนไม่อยากจะดันอันดับขึ้นมาให้เรา ดังนั้นอย่ามองข้ามเรื่อง Speed Website โดยเด็ดขาด


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
รู้จักกับ Internal External Link มีส่วนช่วยให้ติดอันดับในการทำ SEO ได้อย่างไร

รู้จักกับ Internal External Link มีส่วนช่วยให้ติดอันดับในการทำ SEO ได้อย่างไร

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

การทำ Internal Link และ External Link มีประโยชน์อย่างมากสำหรับคนที่ทำ SEO เพราะจะช่วยให้ Google ตอนที่เข้ามา Index เว็บไซต์ของเราเข้าใจเนื้อหาได้มากยิ่งขึ้น และยังเป็นการทำให้ลูกค้าได้อยู่บนเว็บไซต์ของเรานานขึ้น รวมถึงผู้ใช้งานก็ได้รับข้อมูลอย่างเต็มที่จากการเข้ามารับชมเว็บของเรา ในบทความนี้จะมาพูดถึง Internal และ External Link กัน

รู้จักกับ Internal External Link มีส่วนช่วยให้ติดอันดับในการทำ SEO ได้อย่างไร (กดเลือกอ่านได้)

แนะนำว่าหากต้องการทำ Internal Link ให้ทำแทรกเข้าไปในคำเลยดีกว่า และต้องมีเกริ่นนำเพื่อให้ผู้อ่านรู้ว่ามันคืออะไร และลิงค์ที่เราใส่มีความเกี่ยวข้องกับบทความที่เขาอ่านอย่างไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น

อยากจะหาคีย์เวิร์ดไว้ทำ SEO ลองอ่าน หาคีย์เวิร์ดทำ SEO ด้วยเครื่องมือ Ubersuggest ใช้อย่างไรให้ทะยานติดหน้าแรก

เพิ่มยอดขายด้วยการยิงโฆษณา Facebook

ทำธุรกิจออนไลน์ให้สะดวกยิ่งขึ้นด้วยเครื่องมือการตลาดออนไลน์

ในการทำ Internal Link ที่สำคัญนั้นคุณจะต้องเลือกให้ถูกด้วยว่าจะตั้งค่าให้เปิด Same Window หรือ New Tab ถ้าทำ Internal แนะนำว่าให้เปิดเป็น Same Window เพราะลูกค้ายังคงอยู่ในเว็บเรา แต่ถ้าทำ External Link ให้ทำเป็น New Tab จะดีกว่า
นอกจากนี้การทำ Internal Link ไม่ใช่ใส่ในกลุ่ม Keyword อย่างเดียวเท่านั้น เราสามารถเอา Title ของบทความอื่นๆ มาวางได้ด้วย และควรทำผสมกัน ไม่เน้นทำ Internal Link แค่ในกลุ่ม Keyword อย่างเดียว

สิ่งที่สำคัญอีกอย่างที่หลายคนอาจจะพลาดหรือไม่รู้ก็คือ ไม่ควรทำ Internal ลิงค์ในคำเดียวกันแต่ใช้ URLs ต่างกัน เพราะอาจจะสร้างความสับสนให้กับ Google ได้ ถ้าจำเป็นต้องใช้อาจจะเลี่ยงคำเอาดีกว่า ลองดูหน้าตาลิงค์ในคำเดียวกันว่ามันคืออะไร

ความแตกต่างของลิงค์
จากรูปด้านบนจะเห็นได้ว่าคำเดียวกัน “ยิงแอด Facebook” แต่ใส่ Internal Link ในเว็บไซต์ที่แตกต่างกัน ซึ่งแบบนี้ไม่ควรทำเด็ดขาด เพราะเดียวจะสร้างความสับสนให้กับ Google ได้ หากจำเป็นต้องใส่ อาจจะใช้การเลี่ยงเป็นคำอื่นๆ แทน

การทำ External Link บนเว็บไซต์

ไม่ว่าเว็บไหนๆ ก็ตามควรจะมี External Link อย่างน้อยสัก 1 ตัวอยู่ในบทความ เพื่อให้ Google ช่วยเข้าใจโครงสร้างของบทความเราได้ด้วยว่าเขียนเกี่ยวกับอะไร และตัว External Link ที่เราทำจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาด้วยนะและความสำคัญอีกอย่างคือไม่ใช่ว่าเราจะทำ External Link ออกไปได้ทุกเว็บไซต์ แต่ให้เน้นเว็บที่มีคุณภาพและหน้านั้นจะต้องไม่เกิดการ Error หรือไม่สามารถเปิดหน้านั้นด้วย เพราะหากเราทำลิงค์ออกไปยังเว็บที่ไม่มีคุณภาพแล้ว และ Google ได้เข้าไปตรวจสอบเราอาจจะถูกลดคะแนนจากการทำ SEO ได้

สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำ External Link

การทำ Internal Link และ External Link แทบไม่มีอะไรที่แตกต่างกัน แต่ให้ท่องจำไว้เลยว่าถ้าเราต้องการทำ External Link ให้ทำการเปิด New Tab เสมอ เพื่อไม่ให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ของเราปิดเว็บของเราทิ้ง และลดอัตราการเกิด Bounce Rate ด้วย

สรุป

ไม่ว่าจะเป็น External หรือ Internal ก็ควรทำในทุกบทความรวมถึงทุกหน้าอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้ Google เข้าใจได้ว่าเนื้อหาที่เราทำมีความครบถ้วนสมบูรณ์และเป็นไปตาม On – Page ที่ได้เป็นไกด์ไลน์เอาไว้ และมันยังส่งผลต่อการทำ SEO อย่างมากอีกด้วยสำหรับหัวข้อนี้ ส่วนใครที่เป็นเว็บใหม่ช่วงแรกๆ เรื่อง Internal Link อาจจะมีปัญหาเพราะบทความยังน้อยอยู่ แต่ในอนาคตเราก็สามารถกลับมาแก้ไขและใส่ Internal Link ให้มันสมบูรณ์มากขึ้นได้ในอนาคต


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
Focus Keyword กับ Longtail Keyword คืออะไร ? ทำไมคนทำ SEO ต้องรู้

Focus Keyword กับ Longtail Keyword คืออะไร ? ทำไมคนทำ SEO ต้องรู้

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

รูปภาพสำหรับคนขายของคือสิ่งสำคัญอย่างมาก มันช่วยให้ลูกค้าเห็นสินค้าของเราว่าคืออะไร และช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับตัวสินค้าได้หากรูปนั้นถูกทำออกมาดี และเรื่องรูปภาพก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีส่วนช่วยเพิ่มยอดขายได้ด้วย โดยหลักๆ แล้วคนส่วนใหญ่ก็มักจะแต่งรูปภาพก่อนนำไปขึ้นขายก่อนเสมอ แล้วเราจะใช้แอพอะไรดี ? ในบทความนี้มีคำตอบให้กับคุณ

พูดถึงบทความกันก่อน

เวลาคุณจะเขียนบทความอะไรสักชิ้นหนึ่งคุณก็จะต้องนึกเรื่องกันก่อนว่าจะเขียนเรื่องอะไร ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องอาหาร มันก็จะเป็นหัวข้อประมาณ

– 10 อันดับอาหารตามสั่งที่คนที่นิยมสั่งมากที่สุด

– อาหารเด็ดประจำชาติอย่าง “ต้มยำกุ้ง” ทำไมถึงถูกใจคนทั้งโลก

– ร้านอาหารที่ได้ดาวมิชลินในเมืองไทย

สังเกตในประโยคที่ได้ยกตัวอย่างที่ได้ยกมา มันจะต้องมีคีย์เวิร์ดตัวหนึ่งที่คอยเป็นหัวข้อ และประกอบไปด้วยเนื้อคำอื่นๆ เพิ่มเติม พูดง่ายๆ คือ มันเป็นคำที่จะบอกหัวเรื่องที่เราเขียนนั่นเอง

Focus Keyword คืออะไร ?

Focus Keyword คือ คีย์เวิร์ดหลักหรือ Main Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบทความหรือเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณเองก็ได้ โดยมันอาจจะเป็นกลุ่มคำที่กว้างมาก เช่น โทรศัพท์ บ้าน รถยนต์ ร้านอาหาร รองเท้า เป็นต้น ซึ่งคำเหล่านี้ส่วนใหญ่คนก็จะใช้มันมาเป็น Focus Keyword ในการทำ SEO ด้วยเช่นกัน

Focus Keyword คืออะไร
จากรูปด้านบนสมมติว่าแอดอยากจะทำบทความเกี่ยวกับ “ร้านอาหาร” จึงได้เลือกคีย์เวิร์ดนี้เป็น Focus Keyword เพราะว่าแอดอยากให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกๆ ของ Google ด้วยคำว่าร้านอาหาร จึงเลือกที่จะให้เจ้าคีย์นี้เป็น Main Keyword ของบทความไปเลย

เมื่อเราเอา Focus Keyword ของเราไปเช็คแล้วว่าคีย์นี้มี Volume ที่ดีและคิดว่าสามารถแข่งขันได้ สิ่งต่อไปที่เราจะทำกันก็คือหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง (Related Keyword) และหา Longtail Keyword มาช่วยในการทำ SEO เพิ่มเติม

ในด้านของการทำ SEO นั้นไม่ใช่แค่ Focus Keyword จะอยู่ในส่วนหัวเรื่องอย่างเดียว แต่เราต้องมีการกระจายเข้าไปยังเนื้อหาต่างๆ ให้ได้อย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด ไม่ต้องใส่ถี่เกินไปเพราะเดียว Google จะมองว่าเราตั้งใจ Spam Keyword และโดนลงโทษได้เช่นกัน ส่วนใหญ่มักจะใส่ Focus Keyword ลงในเนื้อหากันราวๆ 5 – 8 % เท่านั้นต่อจำนวนตัวอักษรทั้งหมด

Longtail Keyword คืออะไร ?

Longtail Keyword คือ คำที่มีความเกี่ยวข้องกับ Focus Keyword ที่มีความหมายเฉพาะเจาะจงหรือขยายความหมายของคำนั้นๆ ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น จากเดิม Focus Keyword เราอาจจะมีคำอยู่ที่ 1 – 2 คำก็ได้ แต่ถ้าเราเติม Longtail Keyword ลงไปก็จะมีความยาวมากกว่า 3 คำขึ้นไป ทำให้ได้คำที่มีความเฉพาะและชัดเจนมากขึ้น แอดจะยกตัวอย่างจากหัวข้อเมื่อกี้คือ “ร้านอาหาร” แอดอยากรู้ว่าคีย์เวิร์ดร้านอาหารจะมีคำอะไรมาต่อท้ายบ้างก็ดูได้จากเครื่องมือช่วยค้นหาคีย์เวิร์ดได้เลย ในที่นี้แอดจะใช้ Ubersuggest ในการหา Longtail Keyword ต่อเลย

วิธีหา Longtail Keyword
อันนี้แอดได้ค้นหาเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีคำที่เกี่ยวข้องกับ Focus Keyword อย่าง

  • ร้านอาหารใกล้ฉัน
  • ร้านอาหารญี่ปุ่น
  • ร้านอาหารเกาหลี
  • ร้านอาหารอารีย์

ซึ่งคำเหล่านี้จะเห็นได้ว่ามีการใส่คำเพิ่มขึ้นทำให้เราเห็นความหมายที่ชัดเจนและมีความเข้าใจได้มากขึ้น และเราสามารถประเมินต่อได้ว่าคีย์ไหนน่าจะมี Traffic หรือ Volume ที่จะส่งเข้าถึงเว็บเราได้อย่างเพียงพอ

Tip พิเศษ

หากคุณไม่มีเครื่องมือช่วยค้นหาคีย์เวิร์ด สามารถดูได้จาก Google ตรง “การค้นหาที่เกี่ยวข้อง” ก็ได้ จะเห็นได้ว่ามันมีคำอื่นๆ ที่คนค้นหาอยู่ เราสามารถเอาชื่อเหล่านี้มาตั้งทำ Longtail Keyword ได้เช่นกัน จากรูปด้านล่างแอดลองค้นหาด้วยคียเวิร์ด “iPhone” และอันที่ขีดเส้นใต้สีแดงไว้ก็คือ “Longtail Keyword” นั่นเอง

หา longtail keyword

ทำไมถึงต้องมี Longtail Keyword

อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า Longtail Keyword มันจะเหมือนเป็นตัวเพิ่มความเข้าใจและสามารถอธิบายความหมายได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงถ้าเราทำ SEO ยิ่งเราทำได้เจาะจงมากเท่าไหร่ โอกาสที่ลูกค้าจะเจอเว็บไซต์ของเราก็จะมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้การแข่งขันถ้าเปรียบเทียบกับ Focus Keyword การที่เราทำ Longtail เข้าไปสู้ก็มีโอกาสที่จะติดได้ง่ายกว่า และยังเป็นการ Support ช่วยผลักดันให้ตัวคีย์เวิร์ดหลักที่เราต้องการติดอันดับได้ง่ายและไวยิ่งขึ้นอีกด้วย

ดังนั้นแล้วเนี่ย ความสำคัญของ Longtail ก็มีไม่แพ้กับ Focus Keyword เลย แต่คุณจะต้องเลือกให้ดี และใช้คีย์ที่มีลูกค้าค้นหาจริงๆ จะช่วยได้มากกับการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับจากการทำ SEO

คอร์สเรียนยิงโฆษณา Facebook พร้อมของแถมเฉพาะนักเรียนและเทคนิคพิเศษมากมาย

แนวทางในการเอา Focus Keyword และ Longtail Keyword มาเขียนบทความ

มาลงสนามจริงกันเลยดีกว่า ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ Padveewebschool ที่ทำให้ได้แนวทางการอธิบายให้ผู้อ่านได้เข้าใจง่ายมากขึ้น

สำหรับแนวทางการทำยกตัวอย่างสมมติว่าแอดอยากทำบทความเกี่ยวกับ “เคสโทรศัพท์” และได้ค้นหา Research แล้วว่ามี Traffic ที่ดีมากๆ และน่าสนใจเลยทีเดียว แต่ไม่รู้ว่าจะแต่งยังไง แอดเลยลองค้นหาใน Google ด้วย Focus Keyword ที่แอดจะทำคือ “เคสโทรศัพท์” เลย

หาคีย์เวิร์ดทำ SEO
ตรงจุดนี้เองที่มันจะเป็นส่วนประกอบในการช่วยให้เราแต่งหัวข้อให้มีทั้ง Focus Keyword และ Longtail Keyword ได้ ให้เราเลื่อนลงมาด้านล่างมันจะมีคำว่า “การค้นหาที่เกี่ยวข้อง” มันก็จะมีหลากหลายคำให้เราได้เลือกใช้และมีคนค้นหาด้วยคำดังกล่าวด้วย
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง
เมื่อเราเห็นการค้นหาที่เกี่ยวข้องแล้ว ให้เราเอามาลองผสมในประโยคชื่อของเราได้เลยเพื่อทำ SEO Title และห้ามลืมเด็ดขาดว่าต้องตั้งชื่อแล้วดูธรรมชาติและอ่านให้รู้เรื่องด้วย งั้นเดียวแอดจะลองแต่งแบบคร่าวๆ เป็นตัวอย่าง
  • 10 เคสโทรศัพท์ Samsung และ iPhone แบบกันกระแทกยอดนิยม
  • เคสโทรศัพท์ iPhone กันกระแทก รุ่นไหนดี รุ่นไหนเด่น
ลองดูอีกสักอัน
ทำคีย์เวิร์ด SEO
  • หูฟังไร้สายของ JBL รุ่นไหนดีประจำปี 2021
  • หูฟังไร้สายยี่ห้อไหนดีที่ใช้กับไอโฟนได้ 2021

การที่เราตั้งชื่อ Title ให้มีทั้ง Focus Keyword และ Longtail Keyword ผสมกันจะช่วยให้ลูกค้าหาเราเจอได้ง่ายขึ้น เพราะมันจะมีโอกาสในการติดอันดับได้หลายคำทำให้ติดอันดับได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

Focus Keyword & Longtail Keyword ดูยังไง

สอนทำ SEO

สรุป

ขั้นตอนที่สำคัญต่อการทำ SEO ก่อนที่จะเริ่มทำอย่างอื่นเลยก็คือ “การหา Keyword” โดยเราต้องเลือกคีย์เวิร์ดที่มี Volume และมี Traffic ดี นอกจากนี้การหา Longtail Keyword ด้วยเช่นกันเพื่อให้มันส่งเสริมการติดอันดับและการค้นหาเว็บไซต์ของเราเจอได้ง่ายขึ้นและมันจะช่วยเพิ่มยอดขายของเราได้อีกด้วย

และอย่าลืมว่าในการทำ SEO ก็ยังมีส่วนอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบต่อการทำอีกด้วย เช่น On – Page Structure, Speed Website, Mobile Friendly และอื่นๆ อีกมากมายที่คุณต้องให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
Alt Text คืออะไร ? สิ่งที่คนทำ SEO ไม่ควรพลาดเด็ดขาด

Alt Text คืออะไร ? สิ่งที่คนทำ SEO ไม่ควรพลาดเด็ดขาด

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

การทำ SEO นอกจากการใช้ Keyword เพื่อทำบทความให้ถูกต้องตามหลักการของ Google และธุรกิจเราแล้ว ยังมีในเรื่องของการจัด On – Page เพื่อทำให้ถูกต้องอีกด้วย แต่อีกสิ่งที่สำคัญเลยก็คือ “การตั้งชื่อให้กับรูปภาพ” เพราะหลายคนที่ทำ SEO อาจจะไม่รู้ว่าการตั้งชื่อให้กับรูปภาพก็มีส่วนสำคัญต่อการทำด้วยเช่นกัน ในที่นี้เราจะเรียกกันว่า “Alt Text” ที่มันจะทำให้ Google ได้รู้จักว่ารูปภาพของเรานั้นคืออะไรกันแน่ คนทำ SEO ไม่ควรพลาดเด็ดขาด

Alt Text คืออะไร ?

Alt Text ย่อมาจากคำว่า Alternative Text เป็นการใส่คำอธิบายให้กับรูปภาพของเราและมันจะถูกแทรกขึ้นไปอยู่บน HTML ของเว็บไซต์ มันจะไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเราตั้งชื่อว่าอะไรหากไม่เอาเมาส์ไปชี้ที่รูปภาพนั้น หรือไม่กด Inspect ก็จะไม่เห็นชื่อทีเราตั้งไว้ให้กับรูปภาพ แต่จริงๆ แล้วมันมีความสำคัญอย่างยิ่งกับคนที่ทำ SEO เลยทีเดียว

ใส่ Alt Text ในรูปภาพ

ใส่ Alt Text ให้กับรูป เมื่อเอาเมาส์ไปชี้แล้วก็จะขึ้นบอกว่ารูปนี้คืออะไร 

ใส่ Alt Text ให้รูป Google จะอ่านอย่างไร

บอทของ Google ที่ส่งเข้ามา Index เว็บไซต์ของเราจะอ่านได้เพียงแค่ตัวอักษรเท่านั้น ไม่สามารถอ่านค่าของรูปภาพได้จึงต้องอ่านเป็นในลักษณะของ HTML Code แทน

แต่ความสำคัญของ Alt Text ไม่ได้มีแค่ความสำคัญต่อการทำ SEO อย่างเดียวเท่านั้น ยังมีความสำคัญอีกอย่างคืออำนวยความสะดวกแก่คน “พิการทางสายตา” เพราะกลุ่มคนเหล่านี้จะใช้ “Screen Reader” ที่จะใช้อ่านออกเสียงของอักษรต่างๆ บนหน้าจอ และรวมถึงการใช้งานบนเว็บไซต์ได้ เพื่อให้ผู้พิการทางสายตาได้เข้าใจว่ารูปนี้มันคืออะไร ถ้าเราใส่ Alt Text ลงไป ตัว Screen Reader ก็จะอ่านออกเสียงให้ด้วย

Index รูปภาพ

วิธีการใส่ Alt Text ให้กับรูปภาพบน WordPress

WordPress เป็นเว็บไซต์สำเร็จรูปที่ง่ายกับการทำเว็บอย่างมาก เพียงแค่เราเลือก Theme และติดตั้ง จากนั้นก็เลือกจัดวางได้เลยโดยที่เราไม่ต้องมีความรู้ด้านโค้ดใดๆ ทั้งสิ้น และหาเรียนได้ง่ายหากค้นหาเพราะมีคนใช้มากมาย รวมถึงมีสอนกันเยอะอีกด้วย

ก่อนอื่นให้เราไปที่ Media ในหน้าหลังบ้านของ WordPress ก่อน

อัปโหลดรูปลงเว็บ

Media อยู่ที่ระบบหลังบ้านของ WordPress

เมื่อเรามาที่หน้า Media แล้วเราก็จะเจอรูปภาพต่างๆ ที่เราอัปโหลดไปบนเว็บไซต์ของเรามากมาย โดยให้เราเลือกรูปที้ต้องการใส่ Alt Text มาสักรูป ในส่วนนี้มันจะมีชื่อว่า “Alternative Text” ให้เราใส่ชื่อของรูปเราลงไปตามที่ต้องการได้เลย อย่างของแอดก็ได้ตั้งชื่อให้กับภาพนี้เรียบร้อย ในส่วนของ Description นั้นก็แล้วแต่ว่าใครจะใส่หรือไม่ใส่ตามความสะดวกได้เลย เมื่อใส่เสร็จแล้วก็แค่กด “กากบาท” ออกก็เท่านั้นเอง มันก็จะบันทึกให้เรียบร้อยเลย ขั้นตอนการใส่ Alt Text ก็มีแค่นี้เลย

Alternative Text

ตัวอย่างรูปที่ใส่ Alt Text เรียบร้อยแล้ว

กรอบรูปสินค้า Manyframe กรอบรูปสินค้าออนไลน์ไม่ต้องจ้างกราฟิก ทำได้ผ่านทั้ง Canva Photoshop และแอพในมือถือ ตกเพียงกรอบละ 0.8 บาทเท่านั้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Alt Text

แอดได้รวบรวมคำถามเกี่ยวกับเรื่อง Alt Text ไว้ให้ในบทความนี้ โดยหลายคนอาจจะมีข้อสงสัยและแอดหวังว่าจะช่วยเป็นคำตอบให้กับหลายๆ คนได้

1. ควรใส่ Alt Text ให้กับรูปใดบนเว็บบ้าง

ใส่เฉพาะรูปที่สำคัญๆ และเกี่ยวข้องกับบทความจะดีกว่า เพราะเว็บไซต์ของเรามีรูปหลายรูปโดยเฉพาะรูปที่เป็นการตกแต่งของเว็บก็ไม่จำเป็นต้องใส่ Alt Text ให้กับมันก็ได้ เน้นใส่รูปที่เกี่ยวข้องกับบทความหรือรูปที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาสำคัญของเราเท่านั้นก็พอแล้ว

รูป icon ไม่ต้องใส่ alt text ก็ได้

รูป icon หน้า Home Page ของเราก็ไม่ได้ใส่ Alt Text เช่นกัน

2. ใช้ Alt Text ซ้ำกันได้ไหม

ใช้ซ้ำกันได้ แต่ไม่ควรใช้ Alt Text ซ้ำในหน้าบทความหรือหน้าเพจเดียวกัน เพราะเดียว Google เค้าจะมองว่าเราตั้งใจ Spam รวมถึงสร้างความสับสนให้กับ Bot ได้ หากจำเป็นต้องใช้ซ้ำแนะนำว่าให้เลี่ยงเป็นคำอื่นๆ ไปดีกว่า หรือไม่ก็ลองเอา Longtail Keyword มาแต่งเป็นชื่อให้กับรูปก็ได้

3. ต้องมีความหมายไหมกับการตั้งชื่อรูป ?

แนะนำว่าให้ตั้งแบบมีความหมายสอดคล้องกับรูปจะดีกว่า เพราะจะได้ทำให้ Google เค้าเข้าใจด้วยว่ารูปนี้คืออะไร และเกี่ยวข้องกับบทความของเราอย่างไร สามารถดูได้จากรูปประกอบด้านล่างเลยว่าจะตั้งเป็นประมาณแบบไหน

Tip & Trick พิเศษสำหรับคนที่อ่านถึงตรงนี้

หากต้องการทำ SEO จริงๆ เรื่องการใส่ Alt Text ก็สามารถทำให้ Keyword ที่เราใส่ไปติดหน้าของ Google Image ได้เช่นกัน หากเราเน้นเขียนด้วย Keyword อะไร ก็ลองหา Longtail มาแต่งเป็นชื่อให้กับรูปภาพได้ด้วยเช่นกัน เพราะมันก็มีโอกาสที่คนจะเห็นอยู่แล้วหากเราเอาข้อมูล Longtail มาจากเครื่องมือที่ช่วยหา Keyword

สรุป

การใส่ Alt Text หลายคนอาจจะมองข้ามเพราะว่ามันดูเสียเวลาและไม่ได้อะไรกลับมา แต่แท้จริงแล้วมันมีความสำคัญแบบไม่น่าเชื่อเกี่ยวกับการทำ SEO เลยทีเดียว แม้กระทั่ง Google เองเค้ายังแนะนำให้เราทำจะดีกว่า นอกจากมันจะส่งผลต่อเรื่องอันดับใน Google Image แล้ว ยังมีในเรื่องของการอำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการทางสายตาได้อีกด้วยในการอ่านออกเสียงของชื่อรูปภาพนั้นๆ ที่เราใส่


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
ติดหน้าแรกง่ายขึ้นกับ 10 เครื่องมือช่วยทำ SEO ที่คุณควรมีติดไว้

ติดหน้าแรกง่ายขึ้นกับ 10 เครื่องมือช่วยทำ SEO ที่คุณควรมีติดไว้

แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

การทำ SEO หากคุณได้หาอ่านบทความสอนแล้วเหมือนจะง่าย แต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด ส่วนใครที่กำลังฝึกทำ SEO อยู่ก็จำเป็นจะต้องใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อให้การทำของเรามีความสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในบทความนี้เราได้รวบรวม 10 เครื่องมือสำหรับทำ SEO โดยเฉพาะ ใช้งานง่ายแถมยังฟรีอีกด้วย

แนะนำเลยว่าคนที่ทำ SEO จริงๆ อย่างน้อยๆ ก็ควรมีเครื่องมือเหล่านี้ เพราะจะทำให้คุณง่ายต่อการติดตามผลลัพธ์รวมถึงการมอนิเตอร์ในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์ของเราได้อีกด้วย

10 เครื่องมือช่วยทำ SEO ที่คุณควรมีติดไว้ (กดเลือกอ่านได้)

1. Alexa Traffic Rank

โดยมีการรวยรวมข้อมูลต่างๆ ของเว็บไซต์ไว้ที่ Alexa Traffic Rank และจะถูกจัดอันดับออกมา เหมาะสำหรับใช้ดูเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคล้ายกับเราเพื่อสำหรับศึกษา และคีย์เวิร์ดเด่นประจำเว็บนั้นๆ และอย่าไปยึดติดกับอันดับที่ถูกจัดโดย Alexa มากนัก เพราะมันไม่ได้ส่งผลอะไรมาก บางทีเว็บดีๆ อันดับแย่ก็มีเยอะอยู่เหมือนกัน

ในปี 2022 เครื่องมือ Alexa Traffic Rank ได้ถูกยกเลิกไปเรียบร้อยและไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป เดียวแอดจะหาเครื่องมือใหม่ๆ มาแนะนำให้กันอีกครั้งหนึ่ง

Alexa Traffic Rank

2. Moz Bar

ไม่ว่าจะเป็นพวก Header, Internal Link, Title Text, Meta Description รวมถึงดูได้ด้วยว่าหน้าเว็บนี้เปิดให้ Google Index หรือไม่ และความเร็วในการโหลดเท่าไหร่ ซึ่งแปรียบเหมือนเป็นเครื่องมือที่คอยเช็คตรวจสอบโครงสร้างของเว็บไซต์เบื้องต้นว่าเราขาดตรงไหนหรือส่วนไหนครบแล้วบ้าง ตัว Moz Bar ก็สามารถช่วยเช็คได้ระดับหนึ่ง

Moz Bar

3. SEO Quake

ตัว SEO Quake จะเป็นอีกเครื่องมือที่ดีมากๆ ต่อการทำ SEO เพราะจะค่อนข้างวิเคราะห์ได้ละเอียดสุดๆ หากเปรียบเทียบกับหลายเครื่องมือ ไม่ว่าจะเป็น Page Info ที่บอกทั้ง Title Description Internal External link แม้กระทั่ง Server ของเว็บไซต์ นอกจากนี้ยังมี Page Audit ที่จะช่วยบอกจุดบกพร่องของเว็บไซต์ รวมถึงฟีเจอร์อื่นๆ อีกมากมาย ลองไปโหลดติด Google Chrome Extension แล้วลองใช้ได้เลย

SEO Quake

4. Ubersuggest Extension

Ubersuggest Extension ตัวนี้คือส่วนเสริมที่เราสามารถโหลดติดตั้งเข้ากับ Google Chrome ได้เลย ซึ่งเมื่อเราติตตั้งเรียบร้อยแล้วและมีการค้นหาบน Google เมื่อไหร่ มันก็จะบอก Volume Search ของคำที่เราค้นหานั้นๆ รวมถึงแนะนำคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับคำที่เราค้นหาอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสรุปให้ด้วยว่าคีย์ที่เราค้นหาใน Google มีคนค้นหาต่อเดือนอยู่ที่เท่าไหร่

Ubersuggest Extension

5. Serprobot

Serprobot เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับการตรวจสอบคีย์เวิร์ดที่เราทำว่าเราอยู่อันดับที่เท่าไหร่ การใช้งานก็ง่ายมากให้เราเปิดเว็บ Serprobot จากนั้นเราก็ใส่คีย์เวิร์ดที่เราทำแล้วกดวิเคราะห์ดู แล้วทางเว็บก็จะดึงข้อมูลมาให้ว่าคีย์เวิร์ดนี้หน้านี้ของเราติดอยู่อันดับที่เท่าไหร่ของ Google เครื่องมือตัวนี้มีความแม่นยำมากๆ หากไม่มั่นใจคุณก็สามารถเช็คควบคู่กับการ “เปิดโหมดไม่ระบุตัวตน” เพื่อตรวจสอบได้

Serprobot

6. Google Search Console

เครื่องมือสำหรับช่วยวิเคราะห์เว็บไซต์และคีย์เวิร์ดที่ถูกพัฒนามาจาก Google เองโดยตรง มันจะช่วยในการตรวจสอบคีย์เวิร์ดทั้งหมดของเว็บไซต์ การนับจำนวนผู้เข้าชมเว็บผ่านคีย์เวิร์ด รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ทางเครื่องมือ Search Console ก็จะแจ้งเตือนให้เราแก้ไขอย่างถูกต้อง ซึ่งคนที่ทำ SEO ควรจะผูกติดกับเว็บไซต์ของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง

Google Search Console

7. Google Analytics

อีกหนึ่งเครื่องมือที่ถูกพัฒนาโดย Google เอง เป็นบริการที่จะช่วยให้เราที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์ได้ทราบเป็นข้อมูลในเชิงสถิติว่าเว็บของเรามีผู้เข้าชมเท่าไหร่ รวมถึงมาจากคีย์เวิร์ดไหนบ้าง

ปัจจุบันตัว Google Analytics ปี 2022 ได้เปลี่ยนเป็นตัว GA4 ที่จะมีความละเอียดมากขึ้นด้วย และอีกหนึ่งปัญหาที่เข้ามาก็คือเรื่องของ Cookie PDPA ที่จะส่งผลต่อเรื่องของ Traffic การเข้าเว็บไซต์ และอาจจะได้จำนวนที่ไม่แน่นอนได้

Google Analytics

8. Yoast SEO & Rank Math

เครื่องมือตัวนี้จะอยู่ในเว็บไซต์ที่สร้างด้วย WordPress เป็น Plugin ตัวหนึ่งที่เราสามารถหาโหลดได้แบบฟรีๆ ต้องบอกว่ายังมีคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Plugin ว่าจะช่วยเพิ่มอันดับให้อัตโนมัติ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ มันเป็นตัวที่ช่วยให้ให้ “Guideline” แนวทางการทำที่ถูกต้อง โดยจะคอยเช็คทั้ง Keyword H1 H2 และส่วนอื่นๆ ในองค์ประกอบของบทความให้มีความครบถ้วนและสมบูรณ์มากที่สุด

รวมกลุ่มเป้าหมายของสินค้าทุกชนิดไว้ใน E-Book เล่มเดียว ยิงแอดได้ตรงกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น

9. iloveimg.com

จะถูกเรียกว่าเป็นเครื่องมือก็ไม่เชิง สำหรับใครที่ไม่สะดวกในการซื้อ Plugin Imagify บน WordPress ก็สามารถใช้วิธีการ “บีบขนาดรูป” ให้เล็กลงได้ เป็นอีกตัวที่มีความสะดวกมาก และสำคัญกับเว็บไซต์เช่นกันในเรื่องขนาดรูป เพราะยิ่งรูปเรามีขนาดไฟล์ใหญ่เท่าไหร่ก็จะส่งผลให้โหลดเว็บช้าเท่านั้น และ Google เองก็แนะนำว่าเว็บควรโหลดใช้เวลาไม่เกิน 3 วินาที

สมมติว่าไฟล์ขนาด 100KB ถ้าเอาไปลดไฟล์ในเว็บนี้ อาจจะเหลือน้อยกว่า 50KB หรือต่ำกว่าก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่ารูปนั้นองค์ประกอบหรือรายละเอียดมากน้อยแค่ไหน

วิธีลดขนาดไฟล์

10. Lighthouse

เป็น Extension ที่สามารถติดตั้งบน Chrome ได้เลย มันจะไว้ให้เราดู Page Speed แบบละเอียดหลายหัวข้อ อาทิเช่น Performance SEO Score Practices และอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงบ่งชี้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์เราในด้านความเร็ว และเราสามารถนำข้อมูลตรงนี้ไปใช้ปรับปรุงเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้นได้

เช็ค Speed เว็บไซต์

สรุป

เครื่องมือเหล่านี้ยังเป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น แต่ที่เรารวบรวมมามันสามารถหาโหลดได้แบบฟรีๆ โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม นอกจากนี้ยังช่วยอำนวยความสะดวกให้เราทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีก นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณวิเคราะห์ข้อมูลและนำไปต่อยอดในเว็บไซต์ได้อีกมากมาย หากใครสนใจตัวไหนก็ลองหยิบไปใช้กันดูได้เลย


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
Shopping cart0
There are no products in the cart!
Continue shopping