รีวิว Theme WordPress ที่เว็บไซต์ของ Marketing In Secret ใช้งานอยู่ สำหรับในบทความนี้จะรีวิวแบบครบถ้วนรายละเอียดเลย เผื่อใครที่กำลังหาธีมสำหรับทำเว็บไซต์ ก็สามารถไปเลือกเล่นทดลองใช้งาน และอ่านบทความนี้ประกอบการตัดสินใจได้เลย
รีวิว Theme WordPress Divi ที่เว็บไซต์ Marketing In Secret ใช้
1. แนะนำ Theme Divi เบื้องต้น
Theme Divi เป็นอีกหนึ่งธีมที่อยากจะแนะนำให้กับทุกคนได้ทดลองใช้ โดยตัวธีมมีเครื่องมือที่ครบถ้วนมาก ไม่ว่าจะเป็นการ Optimized เว็บไซต์ไม่ให้หนักจนเกินไป การปรับแต่ง Layout และเครื่องมือการทำ SEO ของตัว Divi เองก็ตาม
ตรง Divi Option จะมีลูกเล่นมากมายไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่า Navigation การใส่ Google API รวมถึงพวก Builder และการตั้งค่าโฆษณาต่างๆ ให้อย่างครบถ้วน
โดยส่วนใหญ่หน้า Setting ของ Divi จะเน้นหนักไปที่การปรับหน้าตาของเว็บไซต์และการตั้งค่าระบบการทำงานของเว็บไซต์มากกว่า
หากใครที่ต้องการทำเป็น Sale Page ก็ใช้ Divi ทำได้เช่นกัน
นอกจากนี้หากคุณซื้อธีม Divi ก็จะแถมตัวปลั้กอิน Divi Builder มาให้ด้วยฟรีๆ ซึ่งตัวนี้จะสามารถเลือกปรับแต่งหน้าคาของเว็บไซต์เราได้อย่างอิสระ และเมื่อเราเปิดใช้งาน Plugin และลองสร้างเพจหรือบล็อกดู ก็จะมีเครื่องมือขึ้นแบบภาพด้านล่างเลย
2. แหล่งซื้อ Theme Divi
ปกติการซื้อธีมก็มักจะเข้าไปซื้อกันในเว็บไซต์ Themeforest ที่เป็นเว็บซื้อขายสินค้าแบบ Digital จำพวก Theme รูปภาพหรือปลั้กอินต่างๆ รวมถึงภาพกราฟิคต่างๆ ก็ยังมี แต่ก็ยังมีหลายบริษัทที่ไม่ได้วางจำหน่ายบน Themeforest อีกด้วยเช่นกัน ซึ่ง Divi Theme ก็เป็นหนึ่งในเจ้าที่ไม่ได้วางขายบนนั้น
เราสามารถเข้าเว็บ www.elegantthemes.com เพื่อเข้าไปดูตัวอย่างธีมและทดลองเล่นได้ รวมถึงยังมีเครื่องมือตัวอื่นๆ ที่ถูกพัฒนาโดย Elegant Theme อีกด้วย
ในส่วนของราคา Theme นั้นก็มีให้เลือก 2 แพ็คเกจคือ ปีละ 89$ หรือประมาณ 2,800 บาท กับอีกอันหนึ่งคือแบบจ่ายครั้งเดียว 249$ ประมาณ 7,800 บาท ใครที่เป็นสายทำเว็บอยู่แล้วหรือต้องการจ่ายครั้งเดียวจบ แนะนำให้ซื้อแบบจ่ายครั้งเดียวเลยจะคุ้มมากที่สุด
3. รีวิว Theme Divi
เข้าสู่ช่วงรีวิว Theme Divi แบบจัดเต็ม เนื้อหาตรงนี้ค่อนข้างจะยาวสักนิด แต่ว่าจะละเอียดอย่างแน่นอน เพื่อที่จะได้เป็นตัวช่วยตัดสินใจให้กับคนที่กำลังมองหา Theme สำหรับทำเว็บไซต์สำหรับองค์กร, ธุรกิจ, ขายของออนไลน์ หรือเว็บไซต์แนวอื่นๆ ก็สามารถใช้งาน Theme Divi ได้สบายๆ
ย้อนกลับมาดูที่ Divi Option กันหน่อยดีกว่า
ภาพด้านบนจะเป็นการตั้งค่าทั่วไป อย่างเช่นใส่โลโก้เว็บ ตั้งค่าหน้า Page และ Blog รวมถึงใส่ Google API Key ที่ตรงนี้ได้ด้วยเช่นกัน
เลื่อนลงมาก็จะเจอให้เราใส่ลิงค์ Social Media ที่เรามี โดยเราสามารถเปิดไอคอนโชว์บนเว็บไซต์ของเรา เมื่อผู้ใช้งานคลิกที่ไอคอนแล้วก็จะสามารถไปยังลิงค์ที่เรากำหนดไว้ได้
เลื่อนลงต่อมาก็จะเจอจุดที่เราสามารถตั้งค่าปรับการ Scrolling Mouse การเปิด Minify เพื่อย่อขนาดเว็บของเราให้เล็กลงและโหลดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมถึงสามารถใส่ CSS ได้ด้วยเช่นกัน เฉพาะลูกเล่นใน Divi Option หมวด General ก็มากกว่า 20 ตัวแล้วให้เราปรับ
ต่อมาเป็นในหมวดของ Navigation หรือตรง Header Bar ด้านบนสุดของเว็บ หากใครนึกไม่ออกดูภาพด้านล่างเลย
ในด้านของ Navigation Bar หรือ Header ก็สามารถตั้งค่าเองได้จากในหมวดของ Navigation ได้เลย ซึ่งจะมีย่อยให้อีกประมาณ 3 หมวดหมู่ด้วยกัน โดยที่เราเปิดปิด ตั้งค่าการแสดงผล เปิด – ปิด ตัว Drop Down ได้ด้วยเช่นกัน
ถัดมาเราก็จะเจอกับ Builder ตรงนี้เราสามารถเปิดหรือปิดตัวที่จะสร้าง Page หรือ Post ด้วย Divi Builder จากตรงนี้ได้ด้วยเช่นกัน โดยจะมีให้เลือก 3 หมวดหมู่คือ Post Page และ Project นอกจากนี้ตรงหมวด Advanced ยังมีให้ตั้งค่าเปิดโหมด Classic Editor หรือทำ Product Tour ได้โดยที่เราไม่ต้องโหลด Plugin มาเสริมให้หนักเว็บได้อีกด้วย
ในส่วนของ Layout ตัว Theme Divi เองก็สามารถตั้งค่าเปิด – ปิดคอมเมนต์บนเว็บ รวมถึงยังมีการเลือกได้ว่าเมื่อเวลาเราเขียนโพสต์ลงบนเว็บไซต์จะให้แสดงชื่อผู้เขียน วันเวลา และหมวดหมู่ด้วยหรือไม่อีกด้วย
ในหมวดของ Ads นั้นก็ยังมีให้ตั้งค่าเมื่อเว็บของเราทำ Google AdSense ได้อีกด้วย โดยเราสามารถกำหนดตั้งค่าโฆษณาตรงนี้ได้เลย
ความน่าสนใจของ Divi คือมีตัวเครื่องมือสำหรับวางไกด์ไลน์ทำ SEO ด้วยเช่นกัน แต่เท่าที่ลองใช้แล้วส่วนตัวแอดไม่ถนัดเท่ากับ Yoast SEO หรือ Rank Math สักเท่าไหร่นัก หากใครทำ SEO ด้วยก็สามารถใช้ตามที่ถนัดได้เลย
ฟังก์ชัน Integration ของ Divi ตรงนี้จะเป็นการให้เรานำโค้ดจากที่ต่างๆ มาฝังลงในเว็บได้ โดยสามารถใส่ได้ตั้ง Header Post และคอมเมนต์ รวมถึงใส่ API จาก Google ได้ที่ตรงนี้เช่นกัน ถือว่าสะดวกมากๆ เลยทีเดียว ซึ่งบาง Theme จะไม่มีตรงนี้ให้ ต้องไปใส่โค้ดใน Page หรือ Post เอาเอง
3.1. แนะนำฟังก์ชันตกแต่ง Page & Post ด้วย Divi Theme Builder
ตรงนี้จะขอรีวิวในส่วนของ Divi Theme Builder ให้ดูกันก่อน เพราะปกติแล้วเวลาเราสร้างหน้า Post หรือ Page ก็จะได้หน้าที่ถูกกำหนดไว้เป็นค่า Default ของตัว Theme อยู่แล้ว ซึ่งถ้าหากใครไม่ชอบก็สามารถเลือกสร้าง Layout เฉพาะหน้าหรือเฉพาะโพสต์ได้เหมือนกัน โดยก็เลือกที่ Add New Template ได้เลย
จากนั้นก็เลือก Template ที่เราจะใช้เป็นค่า Default ให้กับหน้าหรือโพสต์นั้นๆ ได้เลย เช่นอยากนำไปใช้กับหน้าไหนโดยเฉพาะเราก็สามารถเลือกตั้งค่าได้เฉพาะหน้านั้นเลย แต่แนะนำถ้าเกิดจะทำเฉพาะหน้า ให้สร้างหน้านั้นหรือโพสต์นั้นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยมาตกแต่ง
4. ลองสร้างเพจด้วย Divi Builder กัน
เริ่มต้นเดียวแอดจะสร้างโพสต์ด้วย Divi Builder เลยละกัน เพราะไม่ว่าจะสร้างเพจหรือโพสต์ก็เป็นแบบเดียวกันทั้งนั้น ยกเว้นที่จะไม่เหมือนคือ Layout ที่เราตั้งค่าเอาไว้ โดย Marketing In Secret จะตั้งค่าหน้าเพจเป็น Fullwidth ไม่มี Sidebar แต่สำหรับหน้าโพสต์จะมี Sidebar เอาไว้ พอเราสร้างโพสต์หรือเพจมาแล้วก็ตั้งชื่อ Header ให้เรียบร้อย แล้วก็กดปุ่ม Edit With The Divi Builder ได้เลย
เมื่อเรากดเข้าไปแล้วก็จะมีให้เลือกวิธีการสร้างว่าเราจะสร้างด้วยตัวเอง เลือกจาก Layout ที่ Divi มีให้ หรือจะสร้างจากการโคลนมาจากหน้าอื่นๆ ที่เราเคยทำไว้ ส่วนตัวแอดจะเลือกสร้างเองด้วยการเลือกตัวแรก “Build From Scratch”
ถ้าหากเราสร้าง Module ขึ้นมาเองเราก็จะเลือกได้เหมือนกันว่าเราต้องการให้หน้าหรือเพจนั้นๆ มีอะไรบ้าง โดย Module ที่ธีม Divi มีมาให้นั้นก็มีทั้งหมด 38 แบบด้วยกันในการสร้าง Section แบบ Regular
สำหรับตัว Section อื่นๆ ก็ยังมีทั้งแบบ Specialty และ FullWidth ให้เราเลือกอีกได้เช่นกัน ซึ่งจำนวนรูปแบบ Module ก็จะแตกต่างกันไป แต่ในบทความรีวิวนี้จะเน้นไปที่ตัว Regular ซึ่งนิยมใช้บ่อยมากที่สุดกันก่อนดีกว่า
หากเราสร้างมาแล้ว และรู้สึกว่าการที่เราจะกดเข้าไปแก้ไข Module ที่เราแทรกมานั้นยากเกินไป เราสามารถปรับมุมมองในการทำใหม่ได้ โดยมีให้เลือกทั้งดูแบบคอมพิวเตอร์ Tablet และมือถือ รวมถึงยังดูแบบ Layer คล้าย Photoshop ได้อีกด้วย เปลี่ยนได้ตรงกรอบด้านล่างเลย
อันนี้แอดปรับมาเป็นแก้ไข Module เป็นเลเยอร์ให้คล้าย Photoshop เพื่อที่จะได้แก้ได้สะดวก เราสามารถปรับสลับไปมาเป็นดูบนคอม บนมือถือ หรือบนแท็บเล็ตได้ตลอดเวลาโดยที่ไม่มีผลกระทบใดๆ
ต่อมาเมื่อเราจะแก้ไข Module สักชิ้นเราก็กด Double Click เข้าไปที่ Module นั้นๆ ได้เลย ในตัวอย่างแอดจะแก้ไข Text สักหน่อยเป็นการเพิ่มเนื้อหา ปรับฟ้อนต์ ปรับขนาด ทำ SEO ลงไปในนี้
ตรงนี้ในหัวข้อ Content ก็จะมีให้เราใส่รายละเอียดลงไป ปรับ H1 ถึง H6 ได้ จัดหน้ากระดาษและอื่นๆ ได้อีกมากมาย และเดียวแอดจะเพิ่มข้อความเนื้อหา พร้อมกับตั้งค่าหน้ากระดาษไปด้วย
ต่อมาเป็นการเปลี่ยนฟ้อนต์แบบที่เราต้องการ และปรับขนาดตัวอักษรไปด้วย โดยในบทความนี้แอดจะใช้เป็น Kanit และ Sarabun ก็ไปเลือกที่ Design แล้วเลือกปรับที่หมวด Text กับ Heading Text ได้เลย เพราะส่วนอื่นๆ แอดว่ามันลงตัวอยู่แล้วเลยไม่ปรับอีก
นอกจากนี้เรายังปรับขนาดหน้ากระดาษ ระยะห่างระหว่าง Section หรือ Module ใส่เงาใส่กรอบ รวมถึงปรับ Animation ให้กับ Module นี้ได้ด้วยเช่นกันนะ
สำหรับใครที่ตั้งค่าอยู่ก็สามารถสลับมาดูเป็นเวอร์ชั่นคอมได้เหมือนกัน แต่ภาพด้านล่างคือแอดตั้งค่าเสร็จแล้วเรียบร้อย
หากคุณตั้งค่าทุกอย่างและทำเสร็จหมดแล้ว ก็กด Save Draft หรือกด Public ได้เลย ภาพด้านล่างสมมติว่าแอดตกแต่งเสร็จเรียบร้อย วาง Layout ทุกอย่างเสร็จสิ้น
ข้อแนะนำ เมื่อเราทำเว็บไซต์ ควรหมั่นกด Save อย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้เวลามีปัญหาแล้วงานของเราที่ทำจะได้ไม่หายไปนะ
กรอบรูปสินค้า Manyframe กรอบรูปสินค้าออนไลน์ไม่ต้องจ้างกราฟิก ทำได้ผ่านทั้ง Canva Photoshop และแอพในมือถือ ตกเพียงกรอบละ 0.8 บาทเท่านั้น
5. ทดลองเล่น Theme Divi
จบกับการรีวิวไปแล้วแต่อาจจะยังไม่เห็นภาพ ก็สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ elegantthemes เมื่อเข้ามาก็จะเจอกับหน้านี้เลย จากนั้นเลือกกดที่ปุ่ม “Unlock Power Of Divi”
กดเข้ามาแล้วก็จะเจอกับอีกปุ่มคือ “Try it For Free” ให้เรากดเข้าไปได้เลย
กดทดลองแล้วจะเจอกับปุ่มเริ่มสร้างหรือให้พาชมก่อน ให้เรากดเริ่มสร้างเลยก็ได้สำหรับคนที่ไม่ต้องการให้เว็บแนะนำให้
เมื่อเรากด Start Building แล้วก็จะมีทั้งแถบสีเขียว แถบสีเทาขึ้นแล้ว ก็จะเป็นการแก้ไขทดลองเล่นลูกเล่นของ Divi ได้เลย เราสามารถปรับแต่งได้ตามใจชอบแบบสบายๆ ลองเล่นได้เหมือนที่แอดได้สอนเลยนะ
สรุป
Theme Divi เป็นอีกหนึ่งธีมที่มีลูกเล่นค่อนข้างเยอะ ที่รีวิวไปเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น คิดว่าถ้าให้รีวิวแบบเต็มๆ ก็คงไม่ต่ำกว่า 3 – 4 บทความที่ยาวขนาดนี้แน่นอน หวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวที่ช่วยในการตัดสินใจสำหรับคนที่กำลังมองหาธีมทำเว็บด้วย WordPress ส่วนใครทำไม่เป็นและต้องการทำเว็บไซต์ ก็สามารถปรึกษากับเราได้เลย หรือแวะไปดูบริการทำเว็บไซต์ของเราก็ได้นะ