ทำ SEO อย่างไรให้ติดอันดับหน้าแรก ที่คุณเองก็ทำได้ (กดเลือกอ่านได้)
SEO คืออะไร ?

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการทำให้เว็บไซต์ของเราสามารถค้นหาเจอได้ง่ายมากขึ้น โดยอยู่เป็นอันดับแรกๆ ของ Google ด้วยการเขียนบทความต่างๆ เข้าไปในเว็บไซต์ของเรา หากเราสามารถทำให้บทความของเราติดอันดับได้หลายตัวก็จะทำให้เกิด Traffic ปริมาณผู้เข้าชมเยอะมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องการ เพราะมีโอกาสในการนำเสนอหรือขายสินค้าได้
นอกจากนี้สำหรับการทำการตลาดออนไลน์ก็ยังมีเรื่องของ SEO เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเหมือนกัน
SEO สำคัญอย่างไรกับเว็บไซต์
การทำ SEO มีความสำคัญอย่างยิ่งนอกเหนือจากการทำโฆษณาตามปกติ เนื่องจากว่ามันทำได้ฟรีแต่ก็ไม่ได้ฟรีไปทั้งหมด แต่มันก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้ด้วยเช่นกัน และนี่คือความสำคัญของการทำ SEO
1. มันเป็นเครื่องมือฟรีที่ทรงพลังมากๆ
ต้องบอกว่าการทำ SEO มันก็จะเหมือนกับการใช้ศาสตร์และศิลป์ในการเขียนคอนเทนต์ บทความ เรื่องราวต่างๆ ตามบริบทของแต่ละเว็บไซต์ แต่ถึงแม้จะบอกว่าฟรีแต่มันก็ต้องใช้ระยะเวลาในการทำพอสมควรขึ้นอยู่กับการแข่งขันแต่ละคีย์เวิร์ด มีความคุ้มค่าและควรทำเป็นอย่างยิ่งหากใครมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง
2. ช่วยเพิ่ม Traffic เข้าเว็บไซต์
แน่นอนว่าเมื่อเว็บของเราอยู่อันดับแรกๆ ย่อมมี Traffic มหาศาลจากการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดนั้นๆ แน่นอน ยิ่งคุณทำคีย์เวิร์ดที่มี Volume Search สูงมากเท่าไหร่ คนก็มีโอกาสเข้าเว็บเรามากเท่านั้น ซึ่งหาก Traffic เราสูงมากพอก็ยังต่อยอดทำ Google AdSense ในอนาคตเพื่อให้มีโฆษณาในเว็บและเราก็รับรายได้จากตรงนั้น
3. เพิ่มโอกาสในการบรรลุวัตถุประสงค์ของธุรกิจ
แต่ละธุรกิจก็มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของธุรกิจนั้นๆ แต่การทำ SEO ก็สามารถช่วยให้คุณบรรลุวัตถุประสงค์เหล่านั้นได้ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านยอดขาย สร้างการรับรู้ เพิ่มผู้เข้าชม หรือสร้างการจดจำให้กับลูกค้า โดยการทำ SEO ก็ช่วยให้ธุรกิจของเราอยู่หน้าแรกๆ และเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าได้เช่นกัน
ข้อดีและข้อเสียของการทำ SEO
ใช่ว่าการทำ SEO จะมีเพียงข้อดีอย่างเดียวเสมอไป มันยังมีข้อเสียแอบแฝงด้วยเช่นกัน แต่ถ้าถามว่ามีความคุ้มค่าที่จะทำหรือไม่ ต้องตอบเลยว่าคุ้มมากๆ กับผลลัพธ์ที่ได้หากรู้จักวิธีการทำที่ถูกต้อง
ข้อดี
- ทำได้ฟรี ไม่ต้องเสียเงินในการทำ
- ถ้าทำถูกต้อง จะติดอันดับได้ยาวนาน
- ผลลัพธ์ที่ได้มีความชัดเจน สามารถวัดผลได้จากการทำ SEO
- เพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ ได้ และเพิ่มโอกาสให้กับธุรกิจ
- ได้ลูกค้าที่ตรงกับความต้องการ
ข้อเสีย
- ใช้เวลาในการทำมาก บางคีย์เวิร์ดอาจจะต้องใช้เวลาเป็นปี
- ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ไม่มีพื้นฐานเลย
- บางคีย์เวิร์ดถ้าวิเคราะห์ผิดก็จะได้ผลลัพธ์ที่น้อยมาก
- มีการปรับ Algorithm บ่อยครั้ง จำเป็นต้องมีการปรับปรุงเสมอ
- ทำยากขึ้นทุกวัน เนื่องจากว่ามีคุ่แข่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ขั้นตอนการทำ SEO มีอะไรบ้าง ?
ในการทำ SEO มันก็จะมี Step แต่ละขั้นที่เราต้องค่อยๆ ทำไปเริ่มต้นจาก 1 – 100 เพื่อให้ง่ายต่อการทำ เพราะถ้าเราไม่ได้วางแผนการทำเลยมันก็จะวุ่นวายต่อการเข้ามาแก้ภายหลัง รวมถึงการติดอันดับก็จะยากอย่างมากเพราะเราจะไม่รู้เลยว่าขั้นตอนไหนที่เราผิดไป แต่ถ้าวางแผนตั้งแต่แรกไล่ทำไปเรื่อยๆ ก็จะดีที่สุด แล้วขั้นตอนการทำจะมีอะไรบ้าง เดียวมาดูกัน
1. การจัด On Page การทำ SEO บนเว็บไซต์
การจัด On – Page SEO ขั้นตอนนี้มีความสำคัญอย่างมากถ้าทำ SEO โดยองค์ประกอบหลักๆ ของการจัด On – Page ก็จะมีดังนี้
- การจัดลำดับหัวข้อ H1 H2 ให้ถูกต้องและเหมาะสม
- ทำสารบัญในบทความเสมอเพื่อให้ผู้อ่านเลือกหัวข้อที่สนใจได้
- คีย์เวิร์ดที่เราเตรียมไว้ (แอดมีสอนอยู่ข้างล่าง)
- ทุกบทความควรมี Internal Link และ External Link อย่างน้อยตัวละ 1 ลิงค์
- รูปภาพสำหรับบทความและประกอบบทความ
- ตั้งชื่อให้กับรูปภาพทุกรูป เน้นว่าเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ Google เข้าใจมากขึ้น
- URLs ต้องสอดคล้องกับเนื้อหา เช่นจะเขียนบทความเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อาจจะใช้ URLs เป็น www.marketinginsecret.com/computer เป็นต้น
เพื่อให้ง่ายต่อการวาง On – Page SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โหลดไฟล์สำหรับเช็ค On – Page Structure ได้ที่ข้างล่างนี้เลย
ขอขอบพระคุณรูปภาพจาก : Padveewebschool
2. ค้นหาคีย์เวิร์ดที่ต้องการทำ SEO
การหาคีย์เวิร์ดสำหรับเขียนบทความเพื่อนๆ จะต้องหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตัวเอง และเป็นคำที่คนค้นหา อันนี้เพื่อนๆ สามารถใช้เครื่องมือเพื่อช่วยตรวจสอบได้ นอกจากนี้เพื่อนๆ ต้องวางแผนคีย์เวิร์ดให้ดีและวางให้เป็นโครงสร้างที่กระจายอยู่ภายในเว็บไซต์
ยกตัวอย่างเช่น คุณต้องการทำให้คีย์เวิร์ด “คอมพิวเตอร์” ติดอันดับในการค้นหา คุณก็จำเป็นจะต้องมี “บทความหลัก” และมีบทความอื่นๆ ที่มีคีย์เวิร์ดเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์คอยส่งแรงให้หน้านั้นติดอันดับ โดยเราสามารถเอาพวก Longtail มาแยกเป็นบทความย่อยๆ ได้ เดียวเรื่องเกี่ยวกับ Longtail ลองอ่านด้านล่างดูได้เลย
2.1 รู้จักกับ Focus Keyword และ Longtail Keyword
ก่อนไปค้นหาคีย์เวิร์ดเราจำเป็นจะต้องแยกประเภทของคีย์เวิร์ดก่อน ในการทำ SEO จะมีการแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
Focus Keyword
Focus Keyword คือ เป็นคีย์เวิร์ดหลักที่ใช้สำหรับการทำ SEO ยกตัวอย่างเช่น ทาง Marketing In Secret อยากเขียนคำว่า “เทคนิคการทำการตลาดออนไลน์” เป็นคำว่า “การตลาดออนไลน์” ได้ ทั้งนี้ก็แล้วแต่การพิจารณาของแต่ละคนว่าจะเลือกเป็นคำไหน
แนะนำว่าอย่าใช้คำที่มีการแข่งขันสูงหรือมีความยากจนเกินไปดีกว่า เพราะต้องใช้เวลาทำอย่างมาก แถมมีโอกาสติดยากกว่าการใช้คำที่เฉพาะขึ้นมาหน่อย คำการแข่งขันสูงมักจะเป็นคำกว้างๆ เช่น Facebook, เสื้อผ้า, คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
เมื่อเราได้ Focus Keyword มาแล้วก็นำไปกระจายใส่ในคอนเทนต์ของเรา ท่องจำไว้เสมอว่าอย่าใส่ Focus Keyword เยอะเกินไป ไม่ควรใส่เกิน 2% ของจำนวนคำทั้งหมด และเน้นย้ำเลยว่าให้เขียนอย่างเป็นธรรมชาติตามปกติของเรา อย่าทำให้ดูตั้งใจใส่ Focus Keyword มากเกินไป เพราะเดียว Google จะมองว่าเราตั้งใจ Spam คีย์เวิร์ด
ยกตัวอย่าง Focus Keyword เช่น
- iPhone
- การตลาดออนไลน์
- คอมพิวเตอร์
Longtail Keyword
Longtail Keyword คือ คำที่มีความเฉพาะเจาะจงในการค้นหา และมีโอกาสที่จะเป็นลูกค้าเราสูงมากหากเราเลือกได้ตรงกับการค้นหานั้น ยกตัวอย่างเช่น “ซื้อ iPhone 13 Pro Max สี Sierra Blue” ในคำนี้หากมันเป็น Focus Keyword มันจะเหลือเพียงแค่ iPhone 13 Pro Max แต่ถ้าเกิดเราใช้ Longtail Keyword ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะค้นหาเราเจอได้มากขึ้น แต่จำเป็นจะต้องนำไปเช็คด้วยเครื่องมือเช็คคีย์เวิร์ดก่อน
ตัวอย่าง Longtail
– iPhone 13 Pro Max สี Sierra Blue
– คอมพิวเตอร์ราคาถูกสเปคดี
– วิธีการขายของออนไลน์ให้ขายดี
ตัวสีน้ำเงินคือ Longtail ไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง แต่เราจะวางไว้ตรงไหนก็ได้ โดยต้องคำนึงถึงว่าประโยคนั้นต้องสมูท คนอ่านแล้วเข้าใจ และไม่ดูจงใจสำหรับการทำ SEO จนเกินไปด้วย
เครื่องมือเช็คคีย์เวิร์ดสำหรับทำ SEO
เครื่องมือเช็คคีย์เวิร์ดสำหรับทำ SEO ก็มีด้วยกันมากมาย แต่หลักๆ ที่คนนิยมใช้จะมีไม่เกิน 10 ตัวเท่านั้น แต่สำหรับในบทควาทนี้เอง จะแนะนำเป็นเครื่องมือของ Ubersuggest ที่ส่วนตัวทาง Marketing In Secret ใช้อยู่ เท่าที่ได้ใช้มาค่อนข้างง่าย ใช้ไม่ยากอย่างที่คิด
หากพร้อมแล้ว ลองกดเข้ามาที่ทดสอบการใช้งานได้ที่ลิงค์นี้เลย www.neilpatel.com/ubersuggest/
เมื่อเข้ามาแล้วเราก็จะเจอหน้านี้ หากคุณต้องการค้นหาคีย์เวิร์ดให้ไปดูแผงควบคุมด้านข้างเสียก่อน
เข้าเว็บ Ubersuggest มาแล้วจะเจอหน้านี้
หน้าตาผลลัพธ์การค้นหาจาก Ubersuggest
เครื่องมือสำหรับช่วยทำ SEO
แน่นอนว่านอกจากเรื่องการทำ SEO ที่สำคัญในเรื่องคีย์เวิร์ดแล้ว ยังมีเรื่องของเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณทำมันได้ง่ายยิ่งขึ้น และตรวจสอบความถูกต้องรวมถึงความสมบูรณ์ของเว็บไซต์ได้ในระดับหนึ่ง ในเบื้องต้นก็จะมี
1. Alexa Traffic Rank
เป็นเครื่องมือที่ช่วยจัดอันดับเว็บไซต์ทั่วทั้งโลกจาก Amazon
2. Moz Bar
Moz Bar เป็นเครื่องมือที่ช่วยเช็คโครงสร้าง On-Page ของเว็บไซต์เรา
3. SEO Quake
เช็คหน้า On – Page ของเว็บไซต์เรา รวมถึงปัญหาต่างๆ ของเว็บไซต์
4. Ubersuggest Extension
เป็นส่วนเสริมสำหรับ Google Chrome โดยเมื่อเราค้นหาคำใดๆ ของ Google ก็ตาม เจ้าเครื่องมือนี้ก็จะทำหน้านี้แนะนำคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องให้ทันที
5. Serprobot
ใช้สำหรับเช็คอันดับคีย์เวิร์ดของเว็บไซต์เรา สะดวกอย่างการค้นหา เพียงแค่ใส่คีย์เวิร์ดและลิงค์เว็บเราก็สามารถเช็คได้แล้ว
วิธีส่องคู่แข่งเพื่อเป็นไอเดีย
แน่นอนว่าทุกธุรกิจย่อมมีคุ่แข่งที่เราทำธุรกิจใกล้เคียงกันอยู่แล้วและมีผู้ที่เป็นเจ้าตลาดอยู่ แต่มันจะช่วยให้คุณทำงานได้มากขึ้น เราสามารถเข้าไปเช็คเว็บไซต์ของคู่แข่งได้หลายวิธี โดยส่วนมากสิ่งที่เราจะตรวจสอบกันคือ คีย์เวิร์ด การจัด On – Page แนวคอนเทนต์ต่างๆ นอกจากเรื่องข้างต้นแล้วยังมีเรื่องของ Speed เว็บไซต์ด้วย ยิ่งเราทำได้ดีกว่าคู่แข่งมากเท่าไหร่ โอกาสในการติดอันดับก็มีเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นด้วย
1. ใช้ Alexa Traffic Rank ช่วยตรวจสอบ
ถึงแม้ส่วนใหญ่คนที่ทำ SEO จะไม่ค่อยนำข้อมูลตรงนี้มาใช้ก็ตาม แต่เราก็พอจะอนุมานได้ว่าความสามารถของเค้ามีมากน้อยแค่ไหน เพื่อที่เราจะได้ประเมินขีดความสามารถของคู่แข่งได้อย่างถูกต้อง
ปัจจุบัน Alexa Traffic Rank ได้ปิดตัวลงไปเรียบร้อยแล้ว
2. เช็คปริมาณ Traffic การเข้าชมเว็บนั้นๆ
การเข้าชมเว็บก็เป็นเครื่องบ่งบอกได้ว่าเว็บไซต์นั้นๆ มีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน ยิ่ง Traffic มากแสดงว่าเค้าสามารถทำ SEO ได้ดี หรือทำบทความออกมาได้อย่างมีคุณภาพ ส่งผลต่อการติดอันดับแรกๆ ของ Google ได้เช่นกัน เบื้องต้นเราสามารถเช็ค Traffic ปริมาณการเข้าชมเว็บได้ด้วยเครื่องมือ Ubersuggest โดยไปเลือกที่
Traffic Overview > ใส่ Domain คู่แข่งที่เราต้องการ > กด Search
จากนั้นรอสักครู่ก็จะได้ข้อมูลตามรูปด้านล่างเลย รูปด้านล่างเป็น Traffic ของฝั่งเว็บไซต์ Marketing In Secret นั่นเอง มันก็จะบอกปริมาณ Keyword, Traffic เฉลี่ยต่อเดือน, อายุโดเมน, Backlink ที่ส่งมาเว็บไซต์ดังกล่าว
Traffic ของเว็บไซต์ Marketing In Secret
กรอบรูปสินค้า Manyframe กรอบรูปสินค้าออนไลน์ไม่ต้องจ้างกราฟิก ทำได้ผ่านทั้ง Canva Photoshop และแอพในมือถือ ตกเพียงกรอบละ 0.8 บาทเท่านั้น
เช็ค Speed Website ของคู่แข่งด้วย Lighthouse
เครื่องมือ Lighthouse จะเป็น Extension ตัวหนึ่งที่มีให้เราดาวน์โหลดฟรีอยู่บน Google Chrome โดยมันสามารถนำมาวัด Speed Website ได้ไม่ว่าจะเว็บไหนๆ ก็ตาม และจะช่วยบอกถึงปัญหาต่างๆ ของเว็บไซต์เราได้ด้วยเช่นกัน แต่ไม่ใช่ดูแค่เพียงเครื่องมือ Lighthouse เท่านั้น ให้ดูจากความรู้สึกของคนจริงๆ ด้วยว่ามีความช้าหรือไม่ เพราะบางครั้งเองถึงแม้มันจะบอกว่าช้า แต่มันอาจจะเร็วก็ได้หากเทียบกับความรู้สึกของเรา
เมื่อใช้ Extension Lighthouse จะได้ข้อมูลดังในรูป
3. ใส่ Alt Text ให้กับรูปภาพ
การใส่ Alt Text ให้กับรูปภาพเป็นเหมือนการอธิบายรูปภาพว่ารูปนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร เพราะ Google เองไม่สามารถจับรายละเอียดรูปภาพได้ดีเท่ากับมนุษย์ จึงต้องอาศัยการตั้งชื่อไฟล์นั้นๆ ทำให้เข้าใจว่าต้องการบอกว่ารูปนี้คืออะไร
เทคนิคการใส่ Alt Text แบบง่ายๆ
– ตั้งชื่ออย่าให้ซ้ำกันภายในบทความเอง การตั้งชื่ออย่างที่บอกไปจะทำให้ Google สามารถอ่านรูปภาพและเข้าใจว่ารูปนี้คืออะไรได้ สิ่งที่สำคัญคือ พยายามอย่าตั้งชื่อให้มันซ้ำกันเด็ดขาด
– สามารถใส่เป็น Keyword ที่เกี่ยวข้องได้ อย่างในบทความเองเราก็ต้องมีรูปประกอบบทความอยู่แล้ว เราสามารถใส่คีย์เวิร์ดที่เรา Research สำหรับทำ SEO นำมาใส่ในรูปภาพได้เช่นกัน ดูจากภาพด้านล่างคือภาพประกอบบทความ “รู้จักกับ Game Fi สรุปว่ามันได้เงินจริงหรือหลอก” ซึ่ง่ในบทความก็ได้มีการพูดถึง Andre Cronje ด้วย แอดก็เลยใส่คีย์เวิร์ดดังกล่าวลงในรูปภาพ
การใส่ Alt Text ให้กับรูปภาพ
– เน้นใส่ Alt Text ที่เกี่ยวข้องกับรูปภาพ ไม่จำเป็นต้องเป็นคีย์เวิร์ดที่เราทำเสมอไป อาจจะเป็นคำอื่นๆ หรือไม่ใช่คีย์เวิร์ดของเราก็ได้ เน้นว่าใส่ให้ตรงกับรูปภาพจะดีที่สุด
– อย่าใส่ Keyword เดียวกันในทุกรูปเพราะ Google จะมองว่าเราตั้งใจ Spam เช่น ใน 1 บทความเรามีรูปทั้งหมด 5 รูป และตั้ง Alt Text ให้กับรูปเป็นคำว่า “ทำ SEO” ก็อย่าใส่คำดังกล่าวทั้ง 5 รูป แต่ใส่ได้เพียงรูปเดียว ส่วนรูปอื่นๆ เราก็กระจายด้วย Related Keyword (คำที่เกี่ยวข้อง) หรือไม่ก็ Longtail Keyword แทนก็ได้
4. ใส่ Internal External ในการทำ SEO ทุกครั้ง
ข้อนี้จะเป็นการใส่ลิงค์ให้กับผู้อ่านสามารถกดเข้าไปยังลิงค์ที่มีความเกี่ยวข้องกับบทความของเราได้ โดยทาง Google ได้แนะนำว่าลิงค์ที่เราใส่จะต้องเชื่อมโยงและเป็นคำตอบให้กับบทความดังกล่าวได้อย่างน้อยๆ ตัวละ 1 ลิงค์ขึ้นไป และประเภทของลิงค์ก็สามารถแบ่งได้เป็น 2 อย่างคือ
Internal Link คืออะไร
Internal Link คือการทำลิงค์ที่จะเชื่อมต่อไปยังหน้าอื่นๆ ที่อยู่ในเว็บไซต์ของเราเท่านั้น การทำแบบนี้จะเรียกว่า Internal Link เช่น หาเพจให้เจอง่ายยิ่งขึ้นใน Facebook และ Google ด้วยการทำ SEO Facebook
External Link คืออะไร
External Link คือการทำลิงค์ไปยังเว็บไซต์ภายนอกที่ไม่ใช่เว็บไซต์ของเรา โดยส่วนมากการใส่ External Link จะเป็นการอ้างอิงหรือการให้ไปอ่านเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ข้างนอก และมันเกี่ยวข้องกับคำตอบทีผู้อ่านต้องการ ยกตัวอย่างเช่น อัปเดตล่าสุดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ของผู้ประเมินคุณภาพ E-A-T ที่จะมี E (Experience) เพิ่มมาอีกหนึ่งตัว
5. การปรับเว็บไซต์ให้โหลดได้ไวสุดๆ
การปรับ Speed เว็บไซต์ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งกับการทำ SEO ของแต่ละเว็บไซต์ นอกจากจะดีต่อ Google แล้ว ยังดีต่อเชิงผู้ใช้งานด้วย เพราะสมัยนี้เว็บไซต์ไม่ควรโหลดนานเกิน 3 วินาที หากเกินกว่านั้นก็จะทำให้ผู้ใช้งานไม่เข้าไปรับชมต่อได้ ซึ่งส่งผลเสียอย่างยิ่งกับเว็บไซต์ของเรา รวมถึง Google จะมองว่าไม่ค่อยมีคุณภาพอีกด้วย
สำหรับเทคนิคการปรับเว็บไซต์ก็จะมีดังนี้
– ลดขนาดรูปภาพให้เล็กที่สุด อันนี้จะหมายถึงว่าให้บีบไฟล์ให้ได้เล็กที่สุด ไม่ใช่การบีบขนาดรูปแต่อย่างใด การที่จะทำให้เว็บโหลดเร็วเรื่องของรูปภาพก็มีองค์ประกอบสำคัญด้วยเช่นกัน ถ้าให้แนะนำขนาดรูปไม่ควรเกิน 100kb และใช้ไฟล์ PNG จะดีกว่า เพราะมีขนาดเล็กด้วยเช่นกัน
– ใช้ Plugin ในการช่วยจัดการโค้ดในเว็บไซต์สำหรับ WordPress เพราะสิ่งที่ทำให้เกิดเป็นเว็บไซต์ได้ก็คือพวกโค้ดนี่แหละที่จะประกอบกันจนกลายเป็นเว็บไซต์ตัวหนึ่ง สำหรับเว็บที่สร้างด้วย WordPress ก็จะมีปลั้กอินหลายตัวที่คอยทำหน้าที่จัดการโค้ดที่ไม่จำเป็นออก หรือไม่ก็ย่อเพื่อให้เว็บไซต์สามารถโหลดได้เร็วมากขึ้น โดยเฉพาะบาง Theme ก็จะมีตัวจัดการ CSS ติดมาให้เลย อย่างของ Theme Divi ที่ทาง Marketing In Secret ใช้ก็มีมาให้เช่นกัน
แต่สำหรับหลายคนก็จะมีการโหลด Plugin เสริมเพื่อเข้ามาช่วยจัดการบางส่วนด้วย ที่นิยมอย่างมากก็จะเป็น WP Rocket ที่มีฟังก์ชันครบและช่วยจัดการองค์ประกอบเว็บไซต์ได้ดีอย่างยิ่ง

– เลี่ยงการใช้ Script ที่เป็น Third Party การใช้สคริปตัวนี้ตัวเว็บไซต์มันจะต้องดึงการโหลดข้ามเว็บไซต์มาแสดงผล แน่นอนว่ามันก็จะทำให้เว็บไซต์ของเราโหลดช้าอย่างมาก และมีผลกระทบต่อการทำ SEO อย่างแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น พวกปุ่มแชทที่เชื่อมต่อไปยังแพลตฟอร์มอื่นๆ
นอกเหนือจากเรื่องเหล่านี้ยังมีอีกหลายองค์ประกอบที่ส่งผลต่อความเร็วเว็บไซต์ของเราด้วย แต่เดียวจะเป็นบทความแยกให้อีกทีหนึ่งเพราะเนื้อหามันจะเยอะ และมีรายละเอียดที่ค่อนข้างมากในการทำแต่ละครั้ง และการปรับความเร็วเว็บไซต์ก็เป็นอีกสิ่งที่มีความสำคัญและไม่ควรละเลยสำหรับคนที่ทำเว็บไซต์
สรุป
การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์เป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเราไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าโฆษณาใดๆ ก็สามารถทำให้ผู้ที่ค้นหาข้อมูลผ่าน Google เห็นเราแล้ว แต่ถึงแม้จะบอกว่าฟรีแต่ยังมีเรื่องของ “เวลา” ที่เราจะต้องใช้มันแลกกับการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ และไม่มีใครบอกได้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนในการติดอันดับด้วยคำค้นหา เพราะมันขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบทความ ความเร็วเว็บ องค์ประกอบของเว็บ เนื้อหาต่างๆ ด้วย แต่ถ้าใครทำ SEO เป็น มันก็ไม่ยากที่จะทะยานขึ้นอันดับ 1 ของ Google ได้ ส่วนอัปเดตอื่นๆ แอดจะทยอยเพิ่มเติมให้ในภายหลัง