แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

แอดมี 2 คำถามจะถามผู้ชมว่า คุณรู้จักยางรถยนต์มิชลินรึเปล่า ? แล้วรู้จัก Michelin Star หรือไม่ ? ถ้าให้แอดเดา ทุกคนที่ดูคลิปนี้คงรู้จักอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน โดยเฉพาะตัวมาสคอสประจำแบรนด์ยางรถยนต์มิชลินอย่าง “มิชลินแมน” หรือภาษาอังกฤษชื่อว่า บีเบนดัม (Bibendum) มีลักษณะตัวขาวๆ เหมือนสวมยางรถยนต์ไว้รอบตัว หลายคนคงเคยผ่านตากันมาบ้าง แล้วคุณรู้อีกหรือไม่ว่ามิชลินสตาร์และยางมิชลินคือเจ้าของเดียวกัน ? งั้นแอดจะเล่าประวัติให้ฟังกันแบบคร่าวๆ และเจาะกลยุทธ์การขาย

ประวัติเบื้องต้นบริษัทยาง Michelin

บริษัทมิชลินก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1888 หรือประมาณ 133 ปีที่แล้ว โดยมีสองพี่น้องอย่าง อังเดร และ เอดูร์อาร์ เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทขึ้นมา และภายใน 5 ปีก็ได้พลิกโฉมหน้าของวงการยางรถยนต์ทั่วโลกเลยทีเดียว

โดยปกติแล้วสมัยนั้นยางรถยนต์รวมถึงจักรยานจะเป็นยางที่ติดกาวเข้ากับวงล้อ เมื่อมันเกิดปัญหาขึ้นจะทำการซ่อมได้ยากมาก และอังเดรได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้จึงทำให้เกิดยางแบบเป่าลมขึ้น และได้นำไปใช้กับนักแข่งจักรยานครั้งแรก ผลปรากฏว่านักแข่งคนนั้นได้อันดับที่ 1 ซึ่งเข้าเส้นชัยห่างกับที่ 2 ถึง 8 ชั่วโมง !!

ในยุคนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นคือ มิชลินมุ่งเน้นผลิตยางสำหรับรถยนต์ แต่มีผู้ใช้งานรถยนต์ในประเทศไม่เกิน 3000 คันเท่านั้น ทางมิชลินมีความต้องการเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ ที่ใช้รถยนต์และซื้อล้อยาง จึงได้เริ่มจัดทำ Michelin Guide ขึ้นมาเป็นครั้งแรก โดยจะบอกถึงแผนที่ วิธีเปลี่ยนยาง ร้านอาหารที่ควรไปทาน สถานที่เติมน้ำมัน และโรงแรม จนเจ้า Michelin Guide Book ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

Michelin Guide Map

แผนที่แสดงถึงจุดต่างๆ รูปภาพจาก Michelin

จนในที่สุด Michelin Guide Book ก็ได้ประสบความสำเร็จ และเริ่มจำหน่ายหนังสือหลังจากที่แจกฟรีมากว่า 20 ปี นอกจากนี้ยังติดหนึ่งในหนังสือขายดีระดับโลกอีกด้วย เมื่อสร้างอิทธิพลจากข้อมูลเกี่ยวกับร้านอาหารของคู่มือมิชลินแล้ว จึงได้จัดตั้งทีม “นักชิมลึกลับ” หรือปัจจุบันเรียกว่า “ผู้ตรวจสอบร้านอาหาร” ขึ้นมา

สิ่งที่ทำให้มิชลินประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว

การเพิ่มผู้ใช้งานก่อนยอดขาย

ในยุคนั้นคนใช้รถยนต์ยังมีจำนวนที่น้อย และตรงนี้เองสิ่งที่มิชลินมองก็คือ การเพิ่มจำนวนผู้ใช้รถยนต์มากกว่าการเพิ่มยอดขาย เพราะช่วงนั้นคนยังไม่เห็นถึงคุณประโยชน์รถยนต์มากเท่าที่ควร จึงทำให้เกิด Michelin Guide Book ขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว จึงทำให้ประสบความสำเร็จอย่างมากในแง่ของการเพิ่มผู้ใช้รถยนต์ จากตรงนี้เองทำให้ยางมิชลินขายได้เพิ่มมากขึ้น เพราะมีคนใช้รถยนต์เพิ่มและเมื่อเกิดยางแบน สิ่งที่คนนึกถึงเป็นอันดับแรกก็คือโฆษณายางที่อยู่ในหนังสือ Michelin Guide นั่นเอง

2. การฟังเสียงลูกค้า

ความสำคัญของการทำการตลาดเลยคือ “การฟังเสียงของลูกค้า” ช่วงที่ Michelin Guide ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ทำให้หลายคนได้พูดถึงร้านอาหารหรือสถานที่ที่ตนเองถูกใจ และทาง Michelin ก็ได้รับฟังข้อมูลเหล่านั้น เมื่อมีข้อมูลมากพอจากกลุ่มลูกค้าและแฟนๆ ของ Michelin Guide แล้ว จึงทำให้เกิดไอเดียในการสร้าง “นักชิมลึกลับ” หรือปัจจุบันเรียกว่า “ผู้ตรวจสอบร้านอาหาร” ขึ้นมา โดยมีมาตรฐานที่สูงมาก เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างแท้จริงและเป็นการสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับทั้งลูกค้าและ Michelin Guide Book มากขึ้นไปอีก รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นคือยิ่งทำให้ยางรถยนต์ของ Michelin ขายดีมากขึ้นด้วย

3. การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ

ในยุคนั้นกว่าจะซ่อมยางรถยนต์หรือรถจักรยานที่แบนแต่ละทีต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการซ่อม ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาอย่างมากสำหรับช่างที่ทำหน้าที่เปลี่ยนยาง เพราะยางรถจะถูกติดกาวไว้กับล้อทำให้มันไม่หลุดออกจากกันได้ง่าย จากปัญหาตรงนี้เองทำให้อังเดรและเอดูร์อาร์คิดแก้ไขปัญหา Pain Point จนกลายเป็นยางรถยนต์แบบสูบลมจนทำให้กลายเป็นมาตรฐานสำหรับรถยนต์และรถจักรยานทั่วโลกได้สำเร็จ

คอร์สเรียนยิงโฆษณา Facebook พร้อมของแถมเฉพาะนักเรียนและเทคนิคพิเศษมากมาย

Michelin Guide Book กับยางรถยนต์ Michelin

จากที่แอดได้อธิบายมาจะเห็นว่า Michelin Guide Book ถ้าฟังหรืออ่านเผินๆ แล้วดูไม่มีสาระสำคัญอะไรหรือดูแล้วไม่น่าจะสร้างยอดขายให้กับยางได้มากขนาดนี้ แต่การที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับร้านอาหารหรือสถานที่ต่างๆ ทำให้ผู้คนเกิดความต้องการรถยนต์และออกเดินทางกันมากขึ้น และยังมีการแฝงโฆษณายางของมิชลินไปในตัวทำให้ผู้อ่านค่อยๆ ซึมซับเข้าไป จนในที่สุดเมื่อเดินทางด้วยรถยนต์แล้วยางแบน คนก็จะนึกถึงมิชลินเป็นอันดับแรกนั่นเอง

Michelin Guide

ความหมายของดาวมิชลิน ที่มาจาก Michelin Guide

ฟังเรื่อง “Michelin Guide & ยาง Michelin เกี่ยวข้องกันอย่างไร” ผ่าน YouTube ?

สรุป

สำหรับใครที่อ่านจนจบแล้ว เทคนิคเหล่านี้เราสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจหรือการขายของก็ย่อมได้ เพราะเป็นเทคนิคที่ดีอย่างมาก และประยุกต์ใช้ได้กับทุกธุรกิจ โดยเฉพาะการฟังเสียงลูกค้าที่เราเก็บ Feedback และนำไปปรับปรุงได้มากเท่าไหร่ มันย่อมส่งผลดีต่อธุรกิจได้อย่างมากแน่นอน


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
Shopping cart0
There are no products in the cart!
Continue shopping