แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย

ใครที่ทำเว็บไซต์ก็มักจะเน้นในเรื่องของการทำเว็บไซต์ให้สวยงามและทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ เพื่อเป็นการเพิ่ม Traffic และเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจได้จากการค้นหาของลูกค้า หนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อการทำ SEO นั้นก็คือ “Speed เว็บไซต์” ยิ่งโหลดเร็วมากเท่าไหร่ก็ส่งผลดีต่อ User และเว็บของเรามากเท่านั้น ค่าเฉลี่ยที่ Google แนะนำคือไม่เกิน 2.5 วิในการโหลดเว็บไซต์ และเราจะทำอย่างไรดี ลองดูวิธีปรับสปีดเว็บไซต์กัน

1. เลือกใช้ Plugin เท่าที่จำเป็นก็พอ

การใส่ Plugin สำหรับเว็บไซต์ที่สร้างด้วย WordPress ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะขาดไม่ได้เลยเด็ดขาด เพราะการที่เว็บหนึ่งจะสมบูรณ์ได้ก็ไม่ใช่ใช้ Theme ของมันอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีตัว Plugin เป็นส่วนประกอบด้วย ก่อนที่เราจะสร้างเว็บไซต์ลองพิจารณาดูก่อนว่าตัวไหนเหมาะสมกับเว็บเราที่สุดให้เลือกใช้ไม่กี่ตัวก็พอ หาก Plugin เยอะเกินไปนอกจากมันจะตีกันทำให้เว็บรวนได้แล้ว ยังส่งผลทำให้เว็บช้าอีกด้วย

2. เลือก Theme ดีๆ ที่เหมาะสม

Theme ใน WordPress มีให้เลือกมากกว่า 10,000 แบบ แต่ที่นิยมใช้กันจริงๆ มีไม่กี่ 100 เท่านั้น และในการเลือกซื้อธีมแต่ละทีเราต้องดูจำนวนผู้ใช้งาน รีวิว วันที่อัปเดต เวอร์ชั่นที่รองรับ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อการเลือกซื้อทั้งนั้น หาก Theme ที่คุณสนใจมีการอัปเดตตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วก็ไม่ควรซื้อ เพราะตัว WordPress มีการอัปเดตอยู่เป็นประจำ หากไม่ได้อัปเดตก็จะทำให้เกิดช่องโหว่และโดนโจมตีเว็บไซต์ได้ ส่วนในไทยก็จะมี Theme นิยมหลักๆ อาทิเช่น

  • Divi Theme (Marketing In Secret ก็ใช้)
  • Flatsome
  • Astra
  • Seed Theme (Theme ของคนไทย)
  • Avada

โดยปกติธีมยอดนิยมต่างๆ จะมีการจัดการพวกโค้ดดีในระดับหนึ่ง ทำให้ความเร็วเป็นไปตามมาตรฐานอยู่แล้ว ยกเว้นแต่คุณไปตกแต่งเพิ่มลูกเล่นก็จะทำให้เว็บช้าลงได้

3. Plugin พวก Page Builder ก็ทำให้ช้าได้

ตัว Plugin จำพวก Page Builder ที่โหลดเสริมมาเพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ของเรานั้นมันจะมีโค้ดที่เขียนไว้ข้างในเยอะแยะมากมาย โดยยิ่งโค้ดต่างๆ มีมากเท่าไหร่ก็ส่งผลให้เว็บของเราโหลดช้ามากขึ้นเท่านั้น แต่ข้อดีของมันก็คือทำให้เราออกแบบเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องโหลดมาใช้ก็ได้

4. บีบขนาดรูปภาพก่อนอัพลงเว็บ

ขนาดรูปภาพของเว็บไซต์ก็มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อความเร็วของเว็บไซต์ ยิ่งไฟล์รูปมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่เวลาในการโหลดเว็บก็จะมากขึ้นเท่านั้น เพราะมันต้องโหลดองค์ประกอบภาพให้ครบถ้วนถึงจะแสดงผลได้ ดังนั้นเราควรจะบีบขนาดรูปภาพให้เล็กลงไม่ให้มันใหญ่เกินไป ขนาดที่แนะนำคือไม่ควรเกิน 100kb ถ้าบีบแล้วไม่เล็กลงน้อยกว่านั้นก็ไม่เป็นไร

คุณสามารถบีบขนาดไฟล์ให้เล็กลงได้หลายแบบคือ

– ใช้ Photoshop ในการบีบขนาดไฟล์ให้เล็กลงได้เช่นกันในขั้นตอนเซฟเราปรับได้ว่าจะให้มันมีขนาดเท่าไหร่ตรงกรอบสีแดงรูปด้านล่างเลย

ปรับรูปด้วย Photoshop

– ใช้ TinyPNG ในการบีบขนาดรูปภาพ เพียงแค่คุณโยนรูปลงไปแล้วมันก็จะบีบขนาดไฟล์ให้เองอัตโนมัติ

เว็บบีบขนาดรูป

– ถ้าอยากปรับขนาดรูปภาพด้วยและบีบไฟล์ด้วย ลองใช้ iloveimg ดู สะดวกเหมือนกัน มีฟังก์ชันฟรีให้เลือกใช้งานเยอะมากๆ

5. ใช้ Plugin ช่วยในการจัดการ

การทำเว็บด้วย WordPress หรือทำเว็บที่ไม่ใช้ WordPress ในการทำ มันก็จะมีเรื่องของโค้ด ข้อมูลต่างๆ มากมายซ่อนอยู่เบื้องหลังเต็มไปหมด แต่สำหรับเว็บที่สร้างด้วย WordPress จะมีความง่ายกว่าตรงที่ว่าเราใช้ Plugin ในการจัดการได้ ส่วนใหญ่มักจะใช้ตัว WP Rocket ในการจัดการปรับตั้งค่าเว็บไซต์กันเป็นส่วนใหญ่ ทำได้ตั้งแต่เคลียร์แคช จัดการโค้ด CSS, JS ทำ Preload และอื่นๆ อีกมากมาย ราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 49$ ต่อปีเท่านั้น

WP Rocket

6. เชื่อมต่อ CDN เข้ากับเว็บไซต์ของเรา

CDN คือ ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ของเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก โดยกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ หากเว็บไซต์ของเราทำ CDN ไม่ว่าผู้ใช้งานจะเข้าเว็บเราจากที่ไหนของโลกก็จะเชื่อมต่อได้อย่างรวดเร็ว และยังเป็นการช่วยให้เว็บเราโหลดเร็วขึ้นแม้จะอยู่ในประเทศของตัวเองก็ตาม รวมถึงมีความปลอดภัยของข้อมูลสูงอีกด้วย และผู้ให้บริการที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้กันคือ Cloudflare

7. ถ้าเว็บของเราหรือเนื้อหายาว ให้ทำ Lazy Load

การทำ Lazy Load จะเหมาะกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาและรูปภาพเป็นจำนวนมากๆ ในหน้าเดียว เพราะมันจะช่วยไม่ให้ตอนที่เราเข้าเว็บโหลดข้อมูลทีเดียวทั้งหมด แต่มันจะให้โหลดทีละส่วนตามการเลื่อนของเราเท่านั้น ทำให้เว็บไซต์ของเราไม่เปิดช้าจนเกินไปและไม่เสียคะแนน Core Vital มากมายนัก

8. เลือก Hosting ที่ดีก็สำคัญ

การเลือก Hosting ไม่ใช่แค่เค้ามีบริการเกี่ยวกับด้านนี้แล้วเราใช้บริการโดยไม่ศึกษาก่อน เพราะ Hosting แต่ละเจ้าก็มีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับจุดเด่นของเจ้านั้นๆ หากเว็บไซต์ของคุณถูกสร้างด้วย WordPress เป็นหลักก็แนะนำให้เลือก Hosting ที่มีการให้บริการด้านนี้โดยเฉพาะ ส่วนใครไม่รู้จะเลือกเจ้าไหน แนะนำให้ลองไปอ่านบทความ แนะนำการเลือกโฮสติ้งสำหรับ WordPress เลย

สรุป

ในเรื่องของการปรับ Speed Website ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งกับการทำ SEO เนื่องจากว่ามันส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งานโดยตรง ให้ลองคิดว่าถ้าคุณเข้าเว็บไซต์แห่งหนึ่งที่ต้องรอโหลดเว็บนานกว่า 5 วินาที ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ก็คงกดออกหนีหมด และเกิดเป็น Bounce Rate ที่เสียต่อเว็บไซต์ขึ้น ส่งผลให้ Google มองว่าเว็บเราไม่มีประสิทธิภาพจนไม่อยากจะดันอันดับขึ้นมาให้เรา ดังนั้นอย่ามองข้ามเรื่อง Speed Website โดยเด็ดขาด


แชร์แบ่งปันกับเพื่อนๆ ได้เลย
Shopping cart0
There are no products in the cart!
Continue shopping