ในโลกนี้ใครๆ ก็รู้จักกับไก่ทอดรสเด็ดอย่าง KFC และต้องรู้จักมาสคอสอย่าง “ผู้พันแชนเดอร์” หรือเคนตั้กกี้ชิคเก้น แต่ใครจะรู้บ้างว่าเบื้องหลังที่กว่าเค้าจะประสบความสำเร็จเนี่ย ก็ปาเข้าไปในวัยเกษียณซะแล้ว
มาดูเส้นทางการกำเนิดของไก่ทอด KFC และอะไรที่เป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จของผู้พันแซนเดอร์ต่อไก่ทอด KFC กันบ้าง รวมถึงที่มาของคำว่า “ผู้พันแซนเดอร์” ทำไมถึงได้ฉายาว่า “ผู้พัน”
22 ครั้งแห่งความล้มเหลว กลายมาเป็นไก่ทอดชื่อดังระดับโลกในชื่อ KFC ได้อย่างไร ? (กดเลือกอ่านได้)
ประวัติของผู้พันแซนเดอร์
รูปภาพจาก : KFC
ผู้พันแซนเดอร์ไม่ได้เกิดในครอบครัวที่มีฐานะมากนัก ไหนจะต้องทำอาหารให้กับน้องๆ ทานอยู่เป็นประจำเมื่อตอนคุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่ที่บ้าน และในช่วงวัย 7 ชวบ แซนเดอร์ต้องรับภาระดูแลบ้านทุกอย่าง รวมถึงการทำอาหารด้วย แต่ด้วยการที่เค้ามีฝีมือด้านการทำอาหาร จึงได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดทำอาหารในหมู่บ้าน
อายุ 12 ปี แซนเดอร์ได้ลาออกจากโรงเรียน และคุณแม่ก็ได้แต่งงานกับพ่อเลี้ยงและด้วยที่พ่อเลี้ยงชอบทำร้ายร่างกาย จึงทำให้แซนเดอร์ได้หนีออกจากบ้านไปอยู่กับลุงในอัลบานี
หลังจากที่ได้หนีออกจากบ้านไปก็ได้ทำงานหลายอย่างทั้งนักดับเพลิง ขายประกัน ขายยาง และอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงยังได้ปลอมแปลงเอกสารไปสมัครทหาร แต่หลังจากทำได้ 4 เดือนก็ถูกขับออกจากกองทัพไป เพราะใช้เอกสารปลอมในการสมัคร
ตอนอายุ 18 ปีก็ได้แต่งงานกับภรรยาของเขา ดูเหมือนจะมีความสุขแต่ดูจะเป็นตลกร้ายในช่วงอายุ 20 ปี ภรรยาก็ได้พาลูกหนีไปเพราะทนใช้ชีวิตกับแชนเดอร์ไม่ได้
อ่านถึงตรงนี้ก็คิดว่าแชนเดอร์เป็นคนที่ไม่น่าจะประสบความสำเร็จได้
ตอนที่แชนเดอร์ทำอะไรก็ล้มเหลว แถมยังโดนลูกและภรรยาทิ้งไปอีก เค้าก็ตระหนักได้ว่ายังมีสิ่งที่ตนเองถนัดอยู่คือ “การทำอาหาร” จึงได้ไปสมัครงานเป็นคนล้างจานและชงกาแฟในร้านอาหารแห่งหนึ่ง (ไม่ถูกปฏิเสธแล้ววว)
หลังจากที่ทำงานไปเรื่อยๆ แชนเดอร์รู้สึกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เค้าต้องการในความคิดของเขา และเวลาที่ว่างอยู่นั้นเค้าก็คิดถึงภรรยาและลูกเป็นอย่างมาก อ้อนวอนให้ภรรยาและลูกกลับมาอยู่กับแชนเดอร์อีกหลายหน แต่ก็ถูกปฏิเสธ
แชนเดอร์วางแผนลักพาตัวลูกสาวของตัวเอง
จากการง้อขอคืนดีกับภรรยาไม่ได้ผล แชนเดอร์เค้าจึงไม่ได้สนใจที่จะมีภรรยาอีกต่อไป แต่สิ่งที่คิดถึงและโหยหามากที่สุดคือ “ลูกสาว” จึงได้วางแผนลักพาตัวไป
คุณคิดว่าแผนนี้จะสำเร็จรึเปล่า ? ใช่ครับ…เค้าล้มเหลวอีกแล้ว !! (ชีวิต So Sad สุดๆ) แต่เรื่องที่น่ายินดีก็เกิดขึ้น เพราะในที่สุดเค้าก็สามารถเกลี้ยกล่อมให้ภรรยาของเขากลับมาอยู่ด้วยกันสำเร็จ
คอร์สเรียนแต่งรูปง่ายๆด้วยโทรศัพท์มือถือ แต่ได้รูปมือโปร เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ
จุดที่ทำให้เกิด KFC ขึ้น
เมื่ออายุ 65 ปี แชนเดอร์ก็ได้รับเช็คเงินเกษียณเป็นมูลค่า 105 ดอลล่าห์สหรัฐต่อเดือน และเหมือนว่ารัฐกำลังจะบอกว่าเค้าไม่สามารถหาเลี้ยงชีพอีกต่อไปได้ ทำให้แชนเดอร์รู้สึกว่าทั้งชีวิตเค้าประสบแต่ความล้มเหลวจนคิดอยากจะฆ่าตัวตาย !!
จากความคิดนั้น ทำให้แชนเดอร์ได้เริ่มที่จะเขียนพินัยกรรม แต่ก็ได้ตระหนักว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่เค้ายังไม่ได้ทำ และคิดไปถึงสิ่งที่ตัวเองถนัดก็คือด้านการทำ “อาหาร” จึงเปลี่ยนจากการเขียนพินัยกรรมเป็นสูตรอาหารแทน
เมื่อคิดได้แล้ว ก็ทำการยืมเงินจากเงินเกษียณ 86 ดอลล่าห์ นำมาซื้อไก่เพื่อปรุงเป็นในสูตรของแชนเดอร์เอง และนำไปขายให้กับเพื่อนบ้านในรัฐเคนตักกี้โดยวิธีการ Knock Door หรือเคาะประตุบ้านขายนั่นเอง
จากการที่แชนเดอร์ได้เคาะประตูขายไก่ทอดให้กับผู้ที่อยู่ตามบ้าน จนทำให้เข้าตากับหลายคนที่สนใจธุรกิจของแชนเดอร์ แต่สุดท้ายก็ได้ขายแฟรนไชส์ให้กับ กลุ่มนักลงทุนมืออาชีพที่มี Jack Massey และ John Y. Brown Jr. เป็นแกนนำ
ในที่สุดเมื่ออายุ 85 ปี ธุรกิจไก่ทอด KFC ที่ขายไปก็โด่งดังเป็นพลุแตก และทำให้ผู้พันแชนเดอร์มีเงินมากกว่า 1,000 ล้านเหรียญดอลล่าห์สหรัฐได้สำเร็จ มีชื่อเสียงทั้งในรัฐเคนตักกี้ และทั่วโลก
ที่มาของฉายา “ผู้พันแชนเดอร์” ได้มาอย่างไร
Colonel Sanders คือชื่อเต็มๆ ของผู้พันแชนเดอร์ แล้วทำไมถึงต้องเรียกผู้พันกันล่ะ ?
คำตอบก็คือ Kentucky colonel เป็นตำแหน่งเกียรติยศสูงสุด ที่ “จักรภพเคนตักกี้” ซึ่งเป็นชื่อรัฐเคนตั๊กกี้ในช่วงเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ผู้ว่าการรัฐ และรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศมอบให้แก่บุคคลเพื่อแสดงความให้เกียรติที่ได้ประสบความสำเร็จ และมีผลงานให้บริการชุมชน รัฐ หรือประเทศชาติ โดยผู้ว่าการรัฐ จะเป็นผู้ให้ตำแหน่ง “ผู้พัน” โดยมอบจดหมายสิทธิบัตรให้
ฟังเรื่องของ “ผู้พันแซนเดอร์” ผ่าน YouTube
สรุป
เรื่องราวของผู้พันแชนเดอร์แห่งร้านอาหารฟาสฟู๊ด ก็นับว่าเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ และเป็นตัวอย่างที่ดีที่ประสบความสำเร็จได้ในบั้นปลายชีวิต ถ้าผู้พันแชนเดอร์เลือกที่จะยอมแพ้ให้กับความล้มเหลวมาตลอดระยะเวลา 65 ปี เราก็คงไม่ได้เห็นแบรนด์ KFC ได้ทั่วไปเหมือนทุกวันนี้ สะท้อนให้เห็นว่าถึงจะเกิดความล้มเหลวมาสักกี่รอบ แต่ถ้าเราได้มองอีกมุมหรือเลือกที่จะไม่ยอมแพ้ ก็มีโอกาสที่สักวันเราจะประสบความสำเร็จได้