ในทุกๆ วันเวลาจะค้นหาสิ่งใดก็มักจะ Search หาสิ่งต่างๆ บน Google กันเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้บนโซเชียลมีเดียหลายๆ แพลตฟอร์มก็มีผู้ค้นหาของหรือสินค้าอยู่บนนั้นด้วยเหมือนกัน
ถึงแม้เราจะลงขายสินค้าหรือโปรโมทธุรกิจเหมือนกันแต่ถ้าไม่มีลูกค้าเห็นมันก็เท่านั้น เดียวบทความนี้เราจะมาพาทำให้ธุรกิจหรือเพจขายของบน Facebook ให้หาเจอได้ง่ายขึ้นด้วยการทำ SEO Facebook กัน
หาเพจให้เจอง่ายยิ่งขึ้นในด้วยการทำ SEO Facebook (กดเลือกอ่านได้)
1. SEO คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรกับเรา?
1.1. มารู้จักกับประเภท Keyword กันแบบย่อๆ สักนิด
2. Facebook ทำ SEO ได้ด้วยรึเปล่า ?
3. การตั้งชื่อเพจให้ค้นหาเจอบน Facebook
4. ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจให้มากที่สุด
5.1. วิธีใส่ข้อความกำกับภาพบน Facebook
6. การทำเนื้อหาบนโพสต์ของเพจ Facebook
7. เครื่องมือในการหา Keyword ไว้ทำ Facebook SEO
หาเพจให้เจอง่ายยิ่งขึ้นในด้วยการทำ SEO Facebook (กดเลือกอ่านได้)
1. SEO คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรกับเรา?
1.1. มารู้จักกับประเภท Keyword กันแบบย่อๆ สักนิด
2. Facebook ทำ SEO ได้ด้วยรึเปล่า ?
3. การตั้งชื่อเพจให้ค้นหาเจอบน Facebook
4. ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจให้มากที่สุด
5.1. วิธีใส่ข้อความกำกับภาพบน Facebook
6. การทำเนื้อหาบนโพสต์ของเพจ Facebook
7. เครื่องมือในการหา Keyword ไว้ทำ Facebook SEO
1. SEO คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรกับเรา?
SEO Facebook คือ การทำให้เพจ Facebook ของเราค้นหาเจอง่ายทั้งใน Facebook เองและ Google และทำให้ร้านคุณติดอันดับแรกๆ ของคีย์เวิร์ดเหล่านั้น
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization เป็นการทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับในการค้นหาของ Google เมื่อผู้ใช้งานค้นหาเกี่ยวกับ Keyword ที่เราใช้ทำ SEO ธุรกิจหรือเพจ สินค้าอะไรต่างๆ ก็จะถูกนำมาแสดงโชว์อยู่ในหน้าแรกๆ ของ Google นั่นเองแบบที่เราไม่ต้องเสียเงินสักบาทเดียว
กระบวนการที่จะทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับได้นั้นก็จะมีในเรื่องของการปรับ On – Page, Off – Page, ความเร็วเว็บ, การเขียนบทความ, การใช้งานของผู้ชม และอื่นๆ อีกมากมาย แต่เราจะไม่พูดถึงกันในบทความนี้ เพราะว่าเราไม่ได้ทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ แต่เราทำบน Facebook ต่างหาก !!!
การทำให้เว็บหรือช่องทางของเราติดอันดับในหน้าแรก มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะช่วยเพิ่มโอกาสในการมองเห็น และเพิ่ม Traffic ดึงเข้าช่องทางนั้นๆ ของเราได้เป็นอย่างดี นอกจากจะได้เพิ่มคนเข้าเว็บไปแล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการนำเสนอสินค้าหรือบริการของเราได้อีกด้วย ดีมากๆ เลยใช่มั้ยล่ะกับการทำให้ติดหน้าแรกเนี่ย
คนส่วนใหญ่เวลาค้นหาข้อมูลบน Google กัน มักจะค้นหาไม่ค่อยเกินหน้า 3 เท่าไหร่ หรือถ้าค้นหาใน Facebook ไถได้สัก 2 – 3 วิ เมื่อไม่เจอสิ่งที่ต้องการเค้าก็จะเปลี่ยนคำค้นหาทันที
1.1. มารู้จักกับประเภท Keyword กันแบบย่อๆ สักนิด
สำหรับ Keyword ในการทำ SEO จะแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ Focus Keyword และ Longtail Keyword
Focus Keyword คือ คำที่เราจะใช้เป็นคีย์หลักในการทำ SEO ยกตัวอย่างเช่น ท่องเที่ยว, อาหารไทย, การตลาด ฯลฯ โดยส่วนมากเป็นคำสั้นๆ กว้างๆ เพื่อต่อยอดกระจายคีย์เวิร์ดไปยังส่วนบทความอื่นของเว็บหรือโพสต์ของ Facebook
Longtail Keyword คือ การทำคีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่, อาหารไทยยอดนิยม, การตลาดออนไลน์, การตลาดบน Facebook
หาก Focus Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือสินค้าของเราดูแล้วคู่แข่งแข็งแรงมากเกินไป เราอาจจะไปเก็บคีย์เวิร์ดที่เป็น Longtail เพื่อให้มันช่วยปั้น Focus Keyword รวมถึงเป็นการเก็บคีย์เวิร์ดย่อยๆ ด้วยเหมือนกัน
โจทย์ที่เราต้องทำคือ คีย์เวิร์ดอันดับของเราไม่ควรหลุดออกไปเกินหน้าที่ 2 ส่วนใน Facebook ก็ไม่ควรอยู่ไกลเกินที่เราคิดว่าลูกค้าจะไถหน้าจอมาหาเราครับ
ส่วนภาพด้านล่างบทความอยู่อันดับที่ 1 และ 2 เดียวหัวข้อถัดไปมีตัวอย่างของ SEO Facebook ให้ดู
2. Facebook ทำ SEO ได้ด้วยรึเปล่า ?
จากข้างต้นแน่นอนว่าทำได้ แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการทำ + ความสม่ำเสมอในการทำอย่างต่อเนื่อง เพราะการทำไม่ใช่ว่าจะเห็นผลทันทีทันใด ยกเว้นแต่ลูกค้าค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่เราโฟกัสแบบเป๊ะๆ 100% อันนั้นยังไงก็ขึ้นของเราแน่นอน
เพจ Facebook ของ Marketing In Secret เองก็อยู่ในลำดับที่ 4 เนื่องจากว่าหากเทียบปริมาณคีย์เวิร์ดที่ค้นหา กับอายุที่เพิ่งก่อตั้ง อาจจะไม่นานและคีย์เวิร์ดยังไม่แข็งแกร่งเท่าอันดับแรกๆ ฉะนั้นเราต้องทำโพสต์ที่เกี่ยวกับคีย์เวิร์ด และเป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานอยากอ่านด้วยนะ มันจะช่วยเพิ่มการค้นหาให้ลูกค้าหาง่ายขึ้น
การทำ SEO ให้คิดเลยว่าเราทำเพื่อผู้อ่านเป็นหลัก ไม่ได้ทำเพื่อ Bot การทำถูกหลักการก็เป็นส่วนช่วยให้ติดอันดับได้ดีขึ้น แต่การทำให้ถูกใจคนอ่านนั้นดีที่สุด หากบทความไหนคนอ่านเยอะ Google กับ Facebook จะดึงขึ้นมาให้อยู่หน้าแรกๆ เองเพราะมันเป็นบทความที่มีคุณภาพสำหรับคนอ่าน
3. การตั้งชื่อเพจให้ค้นหาเจอบน Facebook
ชื่อเพจก็เหมือนกับการเป็น Title ให้กับบทความนั้นๆ หากเปรียบเทียบกับเว็บไซต์แล้ว ตัวชื่อเพจ Facebook ก็จะเปรียบเหมือนหัว Title ในเว็บและเราก็ต้องแฝงคีย์เวิร์ดลงไปในชื่อเพจของเราด้วยเช่นกัน
ยกตัวอย่างแอดจะใช้ Keyword คำว่า “โมเดลวันพีช” เป็นคีย์เวิร์ดหลัก
หากในบทความหัวข้อก็จะเป็น : 10 เรื่องน่ารู้สำหรับนักสะสม “โมเดลวันพีช” ที่เหล่าสาวกไม่ควรพลาดอ่าน !!
ในเพจก็ต้องดูด้วยเราทำเพจอะไร หากเราทำเพจอัพเดทเรื่องโมเดลวันพีชก็ตั้งชื่อหัวข้อให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดที่เราจะทำได้เลย เช่น
“ชมรมนักสะสมโมเดลวันพีช งานเรซิ่นญี่ปุ่น”
“แหล่งรวมพลนักสะสมโมเดลวันพีช”
จะเห็นได้ว่าชื่อเพจที่แอดสมมติไปนั้นมีคีย์เวิร์ดคำว่า “โมเดลวันพีช” อยู่ด้วยเสมอ ซึ่งการตั้งชื่อเพจให้ตรงกับคีย์เวิร์ดที่คนจะค้นหาทั้งใน Google และบน Facebook เองก็ช่วยเพิ่มโอกาสให้คนค้นพบเพจของเราได้มากยิ่งขึ้นเช่นกัน
แจก Tip&Trick
- หากเป็นเพจหรือธุรกิจที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ แนะนำให้ทำ “คียเวิร์ด” ลงในชื่อเพจก่อน และเมื่อแบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จักก็ค่อยเปลี่ยนชื่อเพจเป็นชื่อแบรนด์ภายหลังได้
- การเก็บคีย์เวิร์ดหากมีคู่แข่งที่เราดูแล้วเค้าอยู่มานานหรือมีความแข็งแกร่งของเพจสูง ดูได้จากยอดไลค์ ยอด Engagement ต่างๆ เราอาจจะไปเล่นคำที่เป็น Longtail จะดีกว่า ยกตัวอย่างเช่น
Focus Keyword : โมเดลวันพีช
Longtail Keyword : โมเดลวันพีชจากญี่ปุ่น, โมเดลวันพีชเรซิ่น
รวมกลุ่มเป้าหมายของสินค้าทุกชนิดไว้ใน E-Book เล่มเดียว ยิงแอดได้ตรงกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น
Google ฉลาด เค้าสามารถแยกได้ว่าคีย์เวิร์ดไหนควรแสดงเป็นรูปภาพหรือบทความ อย่างโมเดลวันพีชคนนิยมหาดูรูปภาพและเว็บมากกว่า Google จึงดึงรูปภาพและเว็บขึ้นมาเป้นอันดับแรก ส่วน Facebook ก็ดึงมาเป็นอันดับ 3
4. ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจให้มากที่สุด
ในส่วนข้อมูลธุรกิจ Facebook ก็จะมีให้เราใส่ในหน้าเพจของเรา เพื่อทำให้ลูกค้ารู้จักกับเรามากยิ่งขึ้นและรับรู้ได้ว่าเราเป็นใคร ทำอะไร และทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเรามีตัวตนจริงๆ ไว้ใจได้ นอกจากนี้ตรงเกี่ยวกับเราก็ควรจะใส่คีย์เวิร์ดด้วยเช่นกัน
สำคัญที่ตรง Short Description ที่ต้องเขียนให้ชัดเจน มีคีย์เวิร์ดผสมอยู่ด้วย กระชับสั้นเข้าใจง่าย ก็จะช่วยให้สร้างการรับรู้และทำให้ลูกค้ารู้จักเรามากขึ้นเหมือนกัน
ภาพตัวอย่างจากเพจ Marketing In Secret ตรงเกี่ยวกับของเพจที่อยู่ด้านซ้ายมือของเพจ โดยในรูปใส่ข้อมูลครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว และใส่คีย์เวิร์ดลงในรายละเอียดเรียบร้อย
ส่วนตำแหน่งที่ตั้งนั้นแอดตั้งใจจะให้ Google ดึงข้อมูลจาก Google My Business มาแสดงผลใน Google มากกว่าเพจ Facebook เลยไม่ได้ใส่ตำแหน่งที่ตั้งลงไป (แนะนำว่าจริงๆ ควรใส่)
5. การใส่ข้อความกำกับภาพ (Alt Text)
ถึงตรงนี้บางคนอาจจะเคยเห็นมาบ้าง แต่ก็ไม่รู้มันคืออะไร จริงๆ มันช่วยในเรื่องของการค้นหาในหมวดของรูปภาพได้เหมือนกัน สำหรับการทำ SEO บนเว็บไซต์จะเรียกว่า “Alt Text” แต่ถ้าบน Facebook จะเรียกว่าข้อความกำกับภาพนั่นเอง อย่างในเพจ Facebook ของ Marketing In Secret เองทุกรูปก็มีการใส่ข้อความกำกับภาพไว้ด้วยเหมือนกัน
ในการใส่ข้อความกำกับภาพเราควรที่จะใส่เป็น Keyword ทั้งแบบ Focus Keyword และ Longtail Keyword ผสมกันไป ห้าม !!! Spam Keyword โดยใช้ข้อความซ้ำๆ โดยเด็ดขาด เพราะ Google จะมองว่าเราเป็น Spam และจะไม่ยอมเอาเพจ Facebook ของเราไปแสดงอยู่ในลำดับแรกๆ ของ Google ทันที
ตัวข้อความกำกับภาพ Facebook ก็มีใส่ไว้ให้อัตโนมัติเหมือนกัน แต่จะดึงคำมาจาก Text ที่เราใส่ในรูปภาพ ซึ่งอาจจะไม่ใช่คีย์เวิร์ดของเราก็ได้ ดังนั้นแอดเลยเลือกที่จะใส่ข้อความกำกับภาพเอง
5.1. วิธีใส่ข้อความกำกับภาพ
ขั้นแรกให้เราไปที่เพจของเราเพื่อเลือกโพสต์แต่ละโพสต์ก่อน อย่างด้านล่างแอดเจอแล้วมีโพสต์นึงที่ไม่ได้ใส่ Alt Text ไว้ในรูปก็กดจิ้มที่รูปนี้เลย
ต่อมาเมื่อเปิดรูปขึ้นมาแล้ว ให้กดที่จุดไข่ปลา 3 จุดด้านขวามือแล้วเลือกไปที่ “เปลี่ยนข้อความกำกับภาพ”
เมื่อกดแก้ไขข้อความกำกับภาพ ก็ให้เราใส่ข้อความที่เป็นคีย์เวิร์ดของเราลงไปได้เลย จากนั้นก็บันทึก เป็นอันเรียบร้อยแล้วในการใส่ข้อความกำกับภาพ
นอกจากนี้ Facebook ได้เพิ่มลูกเล่นของ Alt Text ไปอีกขั้นหนึ่งที่จะอ่านออกเสียงข้อความกำกับภาพให้กับผู้พิการทางสายตาได้ยิน แต่ตอนนี้อาจจะยังไม่ได้เห็นมากนักเพราะยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
6. การทำเนื้อหาบนโพสต์ของเพจ Facebook
สำคัญมากกับการทำเพจ Facebook โดยเป็นการทำที่แบบว่าไม่ได้สั่งแต่ทำ ควรเขียนบทความหรือโพสต์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเพจ เพื่อส่งมอบสิ่งดีๆ ให้กับกลุ่มเป้าหมาย
สำหรับแนวทางการทำเพจหลายคนก็มีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเพจความรู้ทั่วไป เพจขายสินค้า เพจกระแสต่างๆ เราจึงควรแยกออกมาก่อนว่าเราทำอะไร แล้วค่อยไปหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องมาทำเนื้อหา
การปรับโพสต์ใน Facebook เพื่อทำ SEO ก็จะมี Guide หลักๆ ดังนี้
- Title คือการจั่วหัวเรื่อง โดยในนั้นต้องมีคีย์เวิร์ดอยู่ด้วย
- เกริ่นนำ คือ การเปิดหัวเรื่องนั้นๆ แบบคร่าวๆ ก่อน
- เนื้อหา คือ เนื้อหาหลักของโพสต์นี้ว่าคืออะไร
- ปิดท้ายหรือสรุป คือ เป็นการสรุปทิ้งท้ายของโพสต์นี้ว่าคืออะไร
การวางโครงเนื้อหาโพสต์แบบนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้เป็นโพสต์ยาวๆ ก็ได้ โพสต์แบบสั้นก็สามารถทำได้เช่นกัน เพราะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย และจัดเรียงเนื้อหาให้อธิบายได้อย่างเป็นลำดับดีเหมือนกัน
นอกจากนี้อย่าลืมที่จะใส่ #Hashtag ด้วย เนื่องจากปี 2020 ที่ผ่านมาทาง Facebook เริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มการมองเห็นและอัตราการค้นหาของผู้ใช้งาน ก็ใส่ Hashtag ที่เกี่ยวข้องลงในโพสต์ด้วย
สำหรับใครที่อยากปั้นเพจให้ปังแบบฟรีๆ สามารถอ่านบทความ 8 วิธีปั้นเพจให้โตระเบิด ได้เลย บทความนี้จะช่วยไกด์หลักใหญ่ๆ ให้ว่าควรทำอะไรบ้าง
7. เครื่องมือในการหา Keyword ไว้ทำ SEO Facebook
ในการหาคีย์เวิร์ดเพื่อที่จะทำ Facebook SEO หรือ SEO ต่างๆ นั้นเราก็จะใช้เครื่องมือแต่ละชนิดมาช่วยหากันทั้งนั้น เพื่อให้แม่นยำมากที่สุดในการทำ SEO นั่นเอง
โดยเครื่องมือหลักๆ ที่ใช้แบบฟรีแอดจะแนะนำให้ทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน จะได้ใช้งบน้อยๆ ในการทำ แต่ถ้าหากใครอยากรีดประสิทธิภาพบางตัวหรือทำเว็บควบคู่ด้วยอาจจะซื้อมาใช้เลยก็ได้
7.1. Ubersuggest
โปรแกรม Ubersuggest ก็เป็นอีกโปรแกรมยอดนิยมในการค้นหาคีย์เวิร์ดสำหรับทำ SEO ด้วยเหมือนกัน เนื่องจากว่าสามารถใช้งานได้ง่าย มีฟังก์ชันเยอะ ตั้งแต่การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด การหาคีย์เวิร์ดที่ใกล้เคียงกัน หาไอเดียทำคอนเทนต์ รวมถึงสามารถวิเคราะห์คีย์เวิร์ดของเว็บไซต์คู่แข่งได้อีกด้วย
แต่ข้อเสีย คือ ข้อมูลอาจจะอัพเดทล่าช้าประมาณ 1 – 2 เดือน เนื่องจากว่าต้องรอให้ Google อัพเดทข้อมูลก่อนแล้ว Ubersuggest ถึงจะอัพเดทอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ช่วยในการหาคีย์เวิร์ดดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
สำหรับใครที่ใช้ฟรีอาจจะลำบากนิดนึง เพราะว่าถ้าหากสมัคร Account แล้วจะค้นหาคีย์เวิร์ดได้เพียง 3 ตัวต่อวันเท่านั้น แต่ถ้าสำหรับใครที่คิดจะทำ SEO ทั้งใน Facebook และ Website ด้วยแนะนำเลยว่าให้ซื้อ ราคาซื้อถาวรไม่แพงแค่ 120USD หรือประมาณ 3667.20 บาทเท่านั้น (ค่าเงินเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2563)
อีกอย่างสายฟรี อย่าเพิ่งเสียใจ!!!
แนะนำว่าสายฟรีให้โหลด Ubersuggest แบบ Extension มาติดไว้บน Google Chrome ไปเลย ทีนี้จะค้นหาอะไรก็สามารถดูได้ว่าแต่ละคีย์เวิร์ดค้นหากันประมาณเท่าไหร่
โดยการติด Extension แบบนี้จะขึ้นเป็นตารางคีย์เวิร์ดด้านขวามือให้กับเราเห็นว่ามีคีย์อะไรน่าสนใจบ้าง แบบนี้จะหาได้แบบ Unlimited แต่ถ้าต้องการดูคีย์เวิร์ดเพิ่มก็ต้องเสียเงินอยู่ดี แต่ก็ยังดีกว่าการเข้าไปหาในเว็บตรงๆ เยอะ
7.2. Google Keyword Planner
การหาคีย์เวิร์ดโดยตรงจาก Google เลย โดยการใช้บัญชีของ Google Ads ให้เป็นประโยชน์ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ยิงแอดแต่เราก็สามารถดูคีย์เวิร์ดได้เหมือนกัน และข้อมูลค่อนข้างตรงเลยทีเดียวเนื่องจากว่ามันมาจาก Google เองโดยตรง ทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าไม่ตรงเท่าไหร่นัก
ข้อเสีย คือ หากเราไม่เคยยิง Google Ads เลย ในส่วนของ “การค้นหารายเดือนโดยเฉลี่ย” จะแสดงเป็นค่าประมาณแทน ต้องยิง Google Ads ไปประมาณสัก 2 – 3 ครั้ง แล้ว Google จะแสดงข้อมูลตัวเลข Volume การค้นหาให้แบบแม่นยำเอง
หากสนใจสามารถอ่านได้ที่นี่เลย : วิธีใช้ Google Keyword Planner
7.3. Google Trend
อีกเครื่องมือหนึ่งที่แอดมองว่าคุ้มค่ามากๆ หากเทียบกับหลายๆ ตัว เพราะข้อมูลทุกอย่างนั้นฟรีหมด เพียงแค่เราอยากรู้อะไรก็สามารถหาได้ใน Google Trend เลย โดยเครื่องมือตัวนี้จะรวบรวมข้อมูลของทั่วทั้งโลกเอาไว้ ฉะนั้นอย่าลืมเปลี่ยนเป็นประเทศไทยนะ
ใน Google Trend เองสามารถค้นหาคีย์เวิร์ดที่เราต้องการได้สูงสุด 5 คำพร้อมๆ กัน โดยสามารถเปรียบเทียบออกมาเป็นกราฟได้เลยว่าคำไหนนิยม คำไหนไม่นิยม อีกทั้งบางคนใช้กับการค้นหาสินค้าเพื่อนำมาขายอีกด้วย (แอดติดไว้ก่อนเรื่องหาสินค้ามาขาย เดียวทำบทความแยกให้จ้า)
ข้อเสียของ Google Trend ก็มีนะ
ข้อเสียหลักๆ คือตัวคีย์เวิร์ดเราต้องเดาสุ่มๆ เอา โดยตัวเครื่องมือนี้จะเป็นตัวที่เช็ค Volume และความนิยมในช่วงนั้นๆ มากกว่า แต่ถ้าประยุกต์หน่อยก็เอา Google Keyword Planner มาใช้ร่วมกัน ก็จะลบจุดอ่อนตรงนี้ได้
7.4. คำอัตโนมัติ Google Automated Complete
หลายคนอาจจะไม่รู้จักชื่อ แต่ถ้าบอกว่าคำที่ Google แนะนำอาจจะอ๋อก็ได้ มันคือการแนะนำคำที่คนค้นหาบ่อยๆ อย่างเช่น เวลาเราพิมพ์ว่าบทความ ทีนี้ Google ก็จะแนะนำคำให้เราอยู่ด้านล่าง
- บทความการตลาด
- บทความภาษาอังกฤษ
- บทความ
เราสามารถเอาคำที่ Google แนะนำเหล่านี้มาใช้ในการทำคีย์เวิร์ดได้เหมือนกัน เพราะจะเป็นคำที่คนนิยมค้นหา ช่วยให้เราต่อยอดกับการทำ SEO Facebook ได้เหมือนกัน และมีหลายๆ ท่านเอาคีย์เวิร์ดเหล่านี้ ไปใช้หาของมาขายหรือดูความต้องการของลูกค้าว่าต้องการอะไร และนำสิ่งๆ นั้นมาช่วยแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้า
สรุป
การทำ Facebook SEO บอกเลยว่ายากมั้ย? บอกเลยว่ายาก !! ด้วยปัจจุบันตลาดการโฆษณาค่อนข้างแข่งขันกันรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทาง Google เองก็มีรายได้จากการโฆษณาเหมือนกับ Facebook
ดังนั้นหลังๆ มาทาง Google เลยเริ่มที่จะลดหน้าการค้นหาของ Facebook ลง แต่การทำ SEO ไม่ได้ขึ้นอยู่เฉพาะบน Google เท่านั้นแต่ยังขึ้นในแพลตฟอร์มของ Facebook เองด้วย
ถึงแม้จะใช้เวลานาน แต่ถ้าเราทำสม่ำเสมอ เชื่อเลยว่าคุ้มกว่าการที่เราไม่ทำแน่นอน เพราะเสียเวลาทำเพิ่มไม่นาน ใส่ข้อความกำกับภาพ ปรับ Layout คอนเทนต์ให้เหมาะสม ทำให้ผู้อ่านได้ย่อยง่าย แถมยังเป็นมิตรต่อการทำ SEO อีกด้วย
ถึงแม้มันจะยาก แต่ถ้าคุณเริ่มลงมือทำตอนนี้ คุณก็จะได้เปรียบกับคนที่ยังไม่ได้ทำ เพราะคนทำยังมีไม่เยอะนัก