การทำโฆษณา Facebook ให้กับสินค้าหรือบริการนั้น เริ่มแรกเราก็ต้องทดสอบก่อนว่ามันจะไปรอดหรือไม่ ซึ่งหลายคนก็กลัวว่าทำไปแล้วไม่ได้ผล แถมซื้อของมาแล้วต้นทุนจมอีก ครั้นจะยิงแอดโฆษณาเพิ่มมันก็จะไม่ไหวเอา ดังนั้นแอดเลยเอา เทคนิคลดค่าโฆษณา Facebook และการประยุกต์นำเอาไปใช้ลดต้นทุนด้านสินค้ามาฝากกัน ลองเอาไปปรับใช้ดูกันได้นะ
6 เทคนิค พิชิตค่าโฆษณา Facebook แพง เอาไปใช้ Optimize ให้ค่าแอดถูกสุดๆ (กดเลือกอ่านได้)
1. สินค้าของเราต้องเหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย
การหากลุ่มเป้าหมายของเราเจอก็เป็นสิ่งที่ดีมากๆ เช่นกัน เพราะช่วยให้เราประหยัดค่าโฆษณา Facebook ได้อีกพอสมควร แต่ในด้านของสินค้าที่เราขายต้องคิดด้วยว่ากลุ่มเป้าหมายเราเป็นใคร และเหมาะรึเปล่ากับกลุ่มเป้าหมายที่เราคิด หากเราตกผลึกได้แล้วก็จะหากลุ่มเป้าหมายเจอได้นั่นเอง เช่น ถุงเท้าเด็กอาจจะยิงไปหากลุ่มเป้าหมายที่เป็นคุณแม่ คนที่มีครอบครัว หรือคนที่กำลังยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเด็กจริงๆ
อยากหาสินค้ามาขาย แต่ไม่มีไอเดียว่าจะขายอะไร อยากให้แวะไปอ่านบทความ Google Trend เครื่องมือฟรี แต่มีพลังเยอะมาก
2. หากลุ่มเป้าหมายให้เจอ
เอากลุ่มเป้าหมายในโลก Offline มาใช้กับ Online มักจะไม่ได้ผล เนื่องจากว่าผู้คนเมื่อเข้าสู่โลกออนไลน์ปุ๊บ ก็จะมีสิ่งเร้าต่างๆ มากมาย หรือมีสิ่งอื่นที่ตัวเองสนใจอยู่แล้ว ทำให้การทำโฆษณาอาจจะต้องพิจารณาถึงหลายๆ ด้านของกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพจที่ลูกค้าชอบ ลูกค้าเป็นใคร มีปัญหาอะไรหรือไม่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตประจำวัน
ในด้านของกลุ่มเป้าหมาย Facebook ก็ค่อนข้างที่จะให้มากว้างเกินไป เช่น รองเท้า เสื้อผ้าผู้หญิง ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ Facebook ไม่ได้แสดงออกมาให้ แต่จะถูกแอบไว้อยู่เราต้องไปค้นหากันเอาเอง เพื่อที่จะได้เจาะกลุ่มเป้าหมายได้ถูกต้อง หรือจะใช้โปรแกรมเครื่องมือเจาะกลุ่มเป้าหมายมาใช้ก็ได้เหมือนกัน
แต่ปัญหาของคนที่เพิ่งเริ่มทำโฆษณาจะ No idea กับการหากลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างมาก หากไม่รู้จะหายังไงหรืออยากได้ไกด์ไลน์ก็ลองไปอ่านบทความวิธีการหากลุ่มเป้าหมาย Facebook แบบง่ายๆ ดูก่อนจะดีกว่า จะได้เข้าใจและรู้เทคนิค พร้อมกับมีธงปักไว้ให้ตัวเองเข้าใจมากขึ้นด้วย
3. เปลี่ยนโฆษณาหรือกลุ่มเป้าหมายบ้าง
เคยมั้ยคุณเห็นโฆษณาเดิมๆ ซ้ำๆ แล้วรู้สึกว่ามันหลอกหลอนมาก จนบางคนถึงขั้นกดรีพอร์ตเพราะรำคาญ ดังนั้นแล้วเนี่ยสายยิงแอด Facebook บางคนอาจจะเปลี่ยนรูปโฆษณารวมถึง Content ทุกๆ 2 – 3 วัน
เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกไม่น่าเบื่อ และอาจจะดึงดูดได้มากยิ่งขึ้น และการใช้กลุ่มเป้าหมายเดิมๆ อาจจะไม่ได้ผลเสมอไป คุณควรหากลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ไว้บ้างก็ดี จะได้มีฐานลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มเติมมากขึ้นนั่นเอง
นอกจากนี้ กลุ่มเป้าหมายที่ Facebook แอบไว้อยู่ก็มีอีกมากมายหลายร้อยกลุ่ม หากสินค้าเราหาได้ง่ายกลุ่มเป้าหมายดูแล้วคล้ายๆ กัน เราก็พยายามอย่าไปยิงกลุ่มที่เค้ายิงกันไปเยอะแล้ว นอกจากจะทำให้ลูกค้าเบื่อ ค่าโฆษณาเราก็จะสูงด้วยเพราะลูกค้าซื้อของคนอื่นหมดแล้ว
คิดภาพตามว่าเรายิงแอด Facebook ด้วยกลุ่มเป้าหมายเหมือนกับคนอื่น แล้วกลุ่มเป้าหมายเห็นซ้ำๆ ถึงแม้จะมีความต้องการซื้อ แต่คนที่ยิงโฆษณาก่อนคุณเค้าก็ได้ลูกค้าไปหมดแล้ว พอคุณยิงบ้างเข้าหาลูกค้ากลุ่มเดิมที่ซื้อไป เค้าก็คงไม่ซื้อเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน เท่ากับว่าก็ขายได้น้อยลงและไม่คุ้มนั่นเอง เปรียบง่ายๆ ขอยกตัวอย่างสินค้าใน Shopee มาให้ดู (หาใน Facebook ยากหน่อยแต่เดียวหามาแปะให้จ้า)
ตัวอย่างจาก Shopee ยกมาให้เข้าใจ คนขายเยอะเราก็จะขายได้น้อยลงถ้าไม่มีอะไรแปลกใหม่
หากคุณคิดว่ากลุ่มเป้าหมายที่ใช้ตันแล้ว ให้หยุดพักก่อน อย่าลืมบันทึกว่ากลุ่มเป้าหมายที่คุณเคยใช้มันได้ผลกับสินค้าอะไร ราคาเท่าไหร่ งบเท่าไหร่ ไว้มีสินค้าใหม่ๆ มาอัพเดทเราจะได้อัดโฆษณาไปยังกลุ่มเดิมได้เหมือนกัน
E-Book สำหรับกลุ่มเป้าหมายสินค้าทุกชนิด เพียงแค่ก็อปวางใน Interest ก็พร้อมยิงโฆษณาได้ทันที
4. ทำ Remarketing บ้างช่วยลดค่าโฆษณา
การทำ Remarketing ก็เป็นการส่งโฆษณาตัวเดิมไปหาผู้คนที่เคยคลิกชมหรือกระทำบางสิ่งบางงอย่างกับโฆษณาของเรา เพื่อที่จะได้ไม่เสียค่าโฆษณาไปโดยเปล่าประโยชน์ สำหรับการ Remarketing นั้นเราก็ดูก่อนว่ากลุ่มเป้าหมาย คอนเทนต์ รูปภาพน่าสนใจ เมื่อลูกค้ากดเข้ามาเยอะๆ แต่ไม่มีการซื้อ แสดงว่ากลุ่มเป้าหมายที่ใส่ไปค่อนข้างได้ผล รูปโฆษณาดึงดูดแล้ว แต่เหลือ Offer ที่อาจจะทำให้ลูกค้าไม่ตัดสินใจซื้อ ถ้าเป็นแบบนี้ก็คือแก้ที่ Offer อย่างเดียว
ไม่ว่าจะกลุ่มเป้าหมาย รูปภาพ คอนเทนต์ก็ล้วนมีส่วนสำคัญทั้งสิ้น กลุ่มเป้าหมายดีเจาะได้ตรง แทบไม่ต้องทำอะไรก็ขายได้ด้วยตัวของมันเองเลย
สินค้าส่วนใหญ่นอกจากจะต้องเจาะกลุ่มเป้าหมายแล้ว อาจจะต้องพึ่งพาการแต่งรูปเพื่อดึงดูดลูกค้า และสามารถสื่อสารกับลูกค้าให้เข้าได้เพียงแค่มอง หากกำลังมองหาคอร์สสอนแต่งภาพสินค้า พร้อมเรียนซ้ำได้ตลอด ติดอะไรสอบถามครูผู้สอนได้โดยตรงแนะนำที่นี่เลย Makepiceasy
5. มีเว็บไซต์ไว้รองรับ Facebook Pixel
อีกหนึ่งทางที่จะได้ข้อมูลกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติมนอกเหนือจาก Facebook คือ การติด Facebook Pixel ไว้ดูพฤติกรรมลูกค้าจากการที่ลูกค้าใช้งานบนเว็บ โดยตัว Tracking นี้จะคอยเก็บข้อมูลการเข้าชม การกระทำสิ่งต่างๆ บนเว็บ และเก็บเข้าไปที่ฐานข้อมูลของ Facebook และเราก็สามารถนำข้อมูลตรงนั้นมายิงแอด Facebook แบบ LAL (Lookalike) ได้
อีกทั้งหากเรามีข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายมากพอ ก็จะยิ่งง่ายมากขึ้นกับการเจาะกลุ่มเป้าหมายเพื่อทำแอด Facebook และยังเป็นการช่วยทำให้ค่าโฆษณาของ Facebook ถูกลงอีกด้วย
6. ใช้กฎโฆษณา Facebook ช่วยจัดการโฆษณา
การใช้กฎโฆษณาของ Facebook มาช่วยจัดการโฆษณาจะทำให้เราสามารถจัดการโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการตั้งกฎอาจจะเหมาะกับผู้ที่วิเคราะห์ได้แล้วว่าต้นทุนต่อการโฆษณาจะอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ก็จะทำให้การทำแอด Facebook ของเราไม่สิ้นเปลือง อีกทั้งยังกำหนดกฎได้หลากหลาย โดยอาจจะไปดูเพิ่มเติมได้เลยว่ามีเงื่อนไขอะไรบ้างสำหรับการทำโฆษณา Facebook และนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับโฆษณาของเรา
สรุป
การทำโฆษณา Facebook หรือไม่ว่าจะเป็นโฆษณาของแพลตฟอร์มต่างๆ ก็จะประสบปัญหาเกี่ยวกับค่าโฆษณาแพงขึ้นทุกๆ วัน เนื่องจากว่าแทบทุกคนก็คิดเหมือนกันว่าถ้าอยากได้ยอดขายก็ต้องทำโฆษณา ทำให้พื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัดถูกแย่งชิงจนเป็นสาเหตุให้ค่าโฆษณา Facebook หรือที่อื่นๆ แพงขึ้นนั่นเอง
แต่เราก็สามารถทำให้ค่าโฆษณา Facebook ถูกลงได้ด้วยการประยุกต์ใช้เทคนิค 6 ตัวที่ได้เขียนมา ค่อยๆ ปรับค่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ค่าโฆษณาจะถูกลงอย่างแน่นอน